ตั้งแต่เจอหน้ากัน จูนก็เอาแต่ถามว่า เมื่อวานเจไม่พอใจอะไรเขา เราไม่รู้เลยจริง ๆ เราจึงไม่ตอบอะไร ได้แต่ส่ายหน้า ตลอดที่เรียนคาบเช้า จูนยังพูดแต่เรื่องที่เจหนีไปซะดื้อ ๆ แล้วสรุปในตอนท้าย ว่าเจแย่อย่างที่น้อง ๆ บอกมาจริง ๆ พอกุ๊กซักว่าน้องคนไหน ยังไง จูนถึงเล่าว่ามีน้อง ม.๓ เคยเอาคุ๊กกี้ไปให้เจ พอน้องเขาคะยั้นคะยอจนเจรับคุ๊กกี้ไว้ เจก็เอาไปทิ้งถังขยะตรงหน้านั่นเอง แล้วหันมาบอกประมาณว่า ทีหลังไม่ต้องเอามาให้อีกนะ เสียดายของ น้องคนนั้นร้องไห้ใหญ่ และจึงไม่มีใครพยายามเอาอะไรไปให้เจอีก และจูนบอกอีกว่าเพื่อน ๆ ในห้องเจก็ไม่มีใครชอบเจเลยสักคน กลุ่มเมย์ ให้อยู่ด้วย ก็เพราะว่าหล่อ และดูไฮโซ เนื่องจากเป็นคนกรุงเทพ
เราไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้สักเท่าไร แต่จูนถึงกับเดินมานั่งคุยให้ฟังตรงที่นั่งข้างเรา ซึ่งปกติไม่มีคนนั่ง แล้วเรียกให้กุ๊กหันหลังมาคุยกัน ที่จริงจูนนั่งหน้าสุดคู่กับนก ถัดมาอีก ๓ โต๊ะจึงเป็นโต๊ะของอุ๋มกับกุ๊ก เรานั่งโต๊ะหลังสุดคนเดียว นักเรียนห้อง ๓ มีทั้งหมด ๓๖ คน จึงมีอีกคนหนึ่งที่นั่งเดี่ยว แต่ปอยอยู่กลุ่มหัวหน้าห้อง ซึ่งนั่งมุมขวาด้านหน้าริมหน้าต่าง เราไม่สนิทกับเขาถึงขนาดกล้าเดินไปนั่งด้วย ชั้นนี้เป็นห้องเรียนประจำของสายวิทย์ทั้งสามห้องเรียงกัน
โชคดีที่จูนได้บทสรุปเรื่อง เจ ก่อนไปถึงโรงอาหาร เราจึงมีความหวังว่าไม่ต้องทนฟังเรื่องเดิม ๆ ตอนกินข้าวอีก กลุ่มของเมย์นั่งโต๊ะเดิมของพวกกรรมการนักเรียน โต๊ะนั้นคนแน่นมาก เรากวาดตามองไม่ทันครบทุกคนขณะเดินผ่าน วันนี้เราเลือกต่อแถวร้านเบอร์ ๕ ซึ่งวางอาหารเป็นจาน ๆ ที่ทำมาแล้ว เป็นร้านที่เราชอบที่สุด ไม่ใช่เพราะรสชาติหรือราคา แต่เพราะตอนซื้อเพียงแค่หยิบจานที่ชอบแล้วส่งเงินให้ป้าคนขายเท่านั้น ไม่ต้องพูดอะไรตอนสั่ง
“ร้านนี้ไม่อร่อยสักอย่าง ทำไมกินบ่อยอ่ะ”
เราสะดุ้งกับเสียงกระซิบจากข้างหลัง แล้วหันไปดู เจยักคิ้วแล้วยิ้มให้เหมือนพอใจที่ทำให้เราตกใจได้ เราไม่ได้ตอบอะไร เพราะถึงคิวพอดี จึงหยิบอาหารจานที่อยู่ใกล้ที่สุด เจตามมายืนข้าง ๆ แล้วหยิบข้าวผัดกับราดหน้า
“สามจานครับ”
เรารีบส่งแบงค์ยี่สิบให้พอออกจากแถว
“เอาไปซื้อน้ำละกัน เราเอาน้ำส้มนะ แก้วใหญ่”
เจ เอาจานที่มือเราไปถืออีก แล้วเดินไปหาที่นั่งว่าง ๆ น้ำสองแก้วแค่สิบบาท เราซื้อน้ำส้มเหมือนเจ แล้วเดินไปที่เจโบกมือเรียก พวกจูนนั่งห่างออกไปอีกฟากนึง กลุ่มกรรมการนักเรียนหันมามองเจกันทั้งโต๊ะ เราจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน แต่เจก็ยังกินหมดก่อนอยู่ดี
“กินเสร็จแล้วปลุกด้วยนะ น้ำ”
“ยังดีกว่าผู้ชายชอบกินน้ำส้มละกัน”
นึกขึ้นได้ว่าการพูดจากระแทกกระทั้นนั้นไม่ดีเลย เราจึงรีบเงยหน้ามองเจ เขาได้แต่ยักไหล่
“ก็เราชอบน้ำส้มจริง ๆ”
ทั้งที่เจทำท่าเหมือนไม่แคร์ที่โดนล้อเรื่องนี้ แต่แววตาเขิน ๆ ของเขาทำให้เรายิ้มกว้าง เพราะพยายามกลั้นหัวเราะ การหัวเราะเยาะคนอื่นก็ไม่ดี
“เพิ่งเคยเห็นเธอยิ้มเยอะขนาดนี้ ถ้าเรากินน้ำส้มแล้วเธอยิ้มแบบนี้ ก็ไม่น่าอายแล้วล่ะ”
อะไรสักอย่างในรอยยิ้มตอบของเจ ทำให้เรารีบก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานซึ่งปรากฏว่าเป็นผัดมักกะโรนีต่อไป
“โจ๊กเดินมาแล้ว สงสัยจะมาโน้มน้าวให้ลงแข่งบาสด้วยอีกแน่ ๆ มันพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เราเข้ามาเรียนวันแรกเลย”
“แล้วทำไมไม่แข่งล่ะ ไม่ชอบเล่นเหรอ”
“ชอบเล่น แต่เบื่อแข่ง น้ำชอบบาสไหมล่ะ”
“ไม่ชอบอะไรเลย เล่นไม่เป็น ดูไม่เป็นด้วย”
“ที่นี่เรียนบาสเมื่อตอน ม.๔ ไม่ใช่เหรอ”
“เราได้เกรด ๒ วิชาพละ... แล้วทำไมไม่แข่งล่ะ ของโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ถ้าช่วยโรงเรียนก็ดีไม่ใช่เหรอ”
“อยากให้เราแข่งเหรอ”
เราไม่ได้ตอบอะไร เพราะคิดไปถึงว่าถ้าเจลงแข่ง คนทั้งโรงเรียนจะอยู่เย็นเพื่อดูเลยไหม อย่างน้อยพวกจูนต้องรอดูแน่ ๆ ถึงแม้จะได้ข้อสรุปแบบนั้นเกี่ยวกับเจก็เถิด
“ถ้าเราแข่ง น้ำจะรอดูรึเปล่า”
เราพยักหน้าตอบ เราไม่เคยดูการแข่งบาสมาก่อน ไม่ว่าจะแข่งบอล หรือวอลเลย์ก็ไม่เคยดู โรงเรียนของเรามีสนามกีฬาใหญ่ที่สุดในบรรดาโรงเรียนอื่น ๆ ในจังหวัด จึงมักจะเป็นเจ้าของสถานที่การแข่งขันเสมอ
“มึงเปลี่ยนใจยัง ซ้อมสามวันก็ทัน วันพุธก็แข่งแล้ว นัดเดียว แล้วมึงไม่ต้องเล่น กูไม่อยากเอาเด็ก ม. ๔ ลง ”
กรรมการนักเรียนฝ่ายกีฬา ชื่อ โจ๊ก นี่เอง เราเคยแต่เห็นหน้า ไม่รู้จักชื่อ เขาพูดขึงขังกับเจแล้วก็หันมายิ้มให้เรา ดูเหมือนจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราคือคนที่เค้าวิ่งมาขอโทษขอโพยเมื่อ ๔ วันก่อน
“วันนั้นไหว้ขอโทษเขา วันนี้ก็ไหว้ขอบคุณซะ เพราะน้ำอยากดู เราถึงลงแข่ง”
โจ๊ก หันมาไหว้เราแล้วอึ้ง ๆ แกมตกใจ แล้วขอโทษเราเรื่องลูกบาสอีกหลายสิบครั้ง ก่อนวิ่งไปบอกข่าวนักบาสคนอื่น ๆ ไม่น่าแปลกใจที่คนเห็นเราแล้วจะจำไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ครูประจำชั้นยังเข้าใจมาตลอดครึ่งเทอมแรกว่าเราเรียนอยู่ห้องสายศิลป์
“เราไม่ได้บอกให้ลงแข่งสักหน่อย”
“หน้าตาเธอบอกว่าอยากดูซะขนาดนั้นน่ะนะ”
โจ๊กอาจไม่ได้บอกแค่กลุ่มนักบาสด้วยกันว่า เจ จะลงแข่งด้วย เพราะทั้งห้องเราก็รู้กันหมด หลังพักเที่ยง จูนไม่ได้มานั่งโต๊ะข้าง ๆ เราอีก ถ้าเราไม่ได้คิดไปเอง จูนแทบไม่ได้สบตาเราเลย คาบสุดท้าย เราลุกออกจากโต๊ะแบบเซ็ง ๆ ไม่แน่ใจว่าจะเดินออกไปรอรถหน้าโรงเรียนเลย หรือว่าไปที่สนามบาสดี เจบอกว่าซ้อมตั้งแต่เย็นนี้น่าจะดี เพราะว่าไม่เคยเล่นพร้อมกับทั้งทีม เหตุผลที่เจไม่ชอบแข่ง เพราะไม่อยากทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม มีการแข่งขันทีไร ต้องมีเรื่องชกต่อยเกือบทุกที เขาหวังว่าที่นี่จะไม่เป็นอย่างนั้น
เราออกจากห้องเกือบเป็นคนสุดท้าย ตามหลังกลุ่มหัวหน้าห้อง ถึงหน้าประตู ปอยก็หันมาพูดว่า
“อ๊ะ มีคนมารอด้วย”
เจ นั่งอยู่หน้าห้อง ในมือถือหนังสือสรุปชีววิทยา ๔ ๕ ๖ เขาเงยหน้าจากหนังสือยิ้มให้แล้วมารับกระเป๋าเราไปถือไว้ เราเดินตามไปเงียบ ๆ จนถึงสนามบาส เจ บอกให้เรานั่งตรงที่นั่งข้างสนามข้าง ๆ กลุ่มของเมย์ คนรอบสนามเริ่มมายืนดู เราไม่รู้ว่าเจเล่นเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเขาได้จับลูกเมื่อไร เสียงเชียร์จะดังกว่าคนอื่น เราเริ่มสงสัยว่าโจ๊กอยากให้เจเล่น เพราะเจเก่ง หรืออยากให้คนมาดูเยอะกันแน่ เรามัวแต่มองทั้งคนเล่น คนดู จนไม่รู้ว่ามีพี่ผู้หญิง ม. ๖ มายืนใกล้ ๆ พอเราสบตาพวกเขาทั้ง ๓ คน ก็รู้สึกได้ว่าตรงนี้คงเป็นที่ประจำของเขาแน่ ๆ เราหอบกระเป๋าทั้งสองใบลุกออกจากที่แล้วเดินไปได้สองก้าว ก็มีเสียงคนร้องกรี๊ด และเงียบกันหมด
ในสนามเจนั่งกองกับพื้นเอามือกุมหน้าด้านขวา
“เฮ้ย มึงดูลูกดิวะ ในสนามมึงมองไปไหน เล่นงี้อันตรายนะ”
โจ๊กตะโกนต่อว่าเจ พลางวิ่งเข้าไปหา เพื่อนอีกคนยืนขอโทษ แล้วพยายามดึงมือ เจ ออกดูว่าอาการเป็นยังไง เราได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้น เจลดมือลง และบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร เขาลุกขึ้นยืนและสะบัดหน้า สองสามที ดูว่าที่ลูกบาสกระแทกหน้านั้นส่งผลร้ายแรงหรือไม่ แล้วก็เดินออกมาหาเรา มีโจ๊กตามหลังมาติด ๆ
“ลุกไปไหนล่ะ น้ำ เบื่อเหรอ”
“โหว ดีไม่เข้าตาบอด กูไม่มีตัวสำรองแล้วนะ”
เจ ไม่ได้สนใจฟังโจ๊กพูดเลย เอาแต่จ้องหน้าเราแล้วคลำหน้าผากป้อย ๆ โจ๊กเลยหันมาพูดกับเรา
“น้ำครับ อย่าลุกไปไหนได้ไหมครับ เวลาเจแข่ง เวลาเจซ้อม น้ำนั่งที่เดิมเฉย ๆ อย่าขยับตัว อย่าหายใจนะครับ”
เจ ผลักหน้าโจ๊ก แล้วถามเราอีก
“อยากกลับแล้วเหรอ”
“เปล่า เราย้ายที่นั่งเฉย ๆ”
จากที่เคยโดนกระแทกเข้าที่ไหล่แบบไม่ตั้งใจมาแล้ว เราพอจะเข้าใจได้ว่าโดนเข้าที่หน้าแบบปามาจัง ๆ จะเจ็บแค่ไหน เรารู้สึกแย่มากที่ลุกออกมา แต่เราก็นั่งที่เดิมต่อไม่ได้ เราคงหน้าเสียมาก เจถึงรีบบอกว่า
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บมาก มึน ๆ”
โจ๊กเดินมาอีกทีพร้อมผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง แล้วลากแขนเจจะพาไปนั่ง เจคว้าแขนเราทันพอดี ที่นั่งพักนักกีฬาก็คือม้านั่งที่เดิมกลุ่มเมย์นั่งกันอยู่ เจ ชี้ให้เราลงนั่งข้าง ๆ เจนั่งเอาผ้ากดหน้าไว้สักพักพลางบอกว่าจะให้โจ๊กหาที่นั่งให้เรา แล้วก็ลุกไปซ้อมต่อ
เราถึงบ้าน ๕ โมงเย็น เจขับรถมาส่ง
No comments:
Post a Comment