Tuesday, September 13, 2011

Chapter 5... Wednesday of the same week

Chapter 5


            ตั้งแต่เข้าแถวเคารพธงชาติ เราก็บอกได้เลยว่าวันนี้จะต้องเป็นวันที่แย่แน่ ๆ เพราะคาบสุดท้ายวิชาพละ เราต้องสอบกระโดดเชือก ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยกระโดดเชือกได้เลยแม้แต่ทีเดียว เสื้อพละโรงเรียนเราสีชมพู นักเรียนผู้หญิงใส่กางเกงวอร์มมาโรงเรียน เมื่อก่อนต้องใส่กระโปรงมาก่อน แล้วเอากางเกงมาเปลี่ยน แต่พอเมย์เป็นประธานนักเรียนก็พยายามหาเหตุผลมาเปลี่ยนกฎข้อนี้ของโรงเรียน เมย์ อยู่ในตำแหน่งได้สองอาทิตย์ ก็เป็นที่รักของนักเรียนหญิงทั้งโรงเรียน เพราะไม่มีใครอยากเอากางเกงวอร์มยัดใส่กระเป๋ามาเรียนด้วย
            เรารู้สึกไม่ดีตลอดที่เรียนคาบเช้า ได้แต่ภาวนาว่าตอนสอบแค่ทำท่ากระโดด อาจารย์คงให้คะแนนบ้าง หรือเพื่อน ๆ คงแยกย้ายกันซ้อม จนไม่ได้มีเวลามาจับจ้องรอดูคนที่สอบ เราเกลียดการถูกมอง ยิ่งถูกมองยิ่งทำได้แย่ลง ตอนกลางวันเรากินอะไรไม่ลง มักกะโรนีหมดไปแค่ครึ่งจาน เราก็ปวดท้องไปหมด แต่เราไม่ได้ไปห้องพยาบาลเพราะรู้ว่าอาการนี้เกิดมาจากจิตใจที่โดนกดดันมากกว่าความผิดปกติของร่างกาย
            ก่อนสอบอาจารย์ให้ทุกคนแยกย้ายไปซ้อมได้ กระโดดได้ ๑๐ ที ถือว่าผ่าน มากกว่านี้เราไม่รู้ว่าได้คะแนนเท่าไร เพราะไม่สนใจจะฟังอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคาบนี้เป็นวิชาอิสระของห้องอื่นรึเปล่า เพราะดูจะมีคนรอบ ๆ สนามบาสที่เราใช้เรียนพละเยอะกว่าปกติ ในที่สุดเราก็กระโดดได้ ๑ ครั้ง หลังจากเอาเชือกฟาดหัวตัวเองไปหลายที ที่เห็นจากหางตา คนเริ่มมาอยู่ตรงรอบสนาม รอให้ห้องเราเลิกเรียนจะได้เข้ามาเล่นบาสล่ะมั้ง เราไม่มีสมาธิเลย อาจารย์น่าจะยอมให้ไปสอบเดี่ยวในห้องพักครู โดยที่ไล่ครูคนอื่นออกไปให้หมด
            จู่ ๆ ก็มีคนมายึดมือเราไว้
            ก้มหน้าก้มตาอย่างนั้น จะกระโดดได้ไงล่ะ
            เจ เอาเชือกไปถือ เตรียมพร้อม
            เดี๋ยวทำให้ดู แบบช้า ๆ
            เจ กระโดดให้ดู แล้วพยายามสอนเราช้า ๆ เพื่อนคนแรกเริ่มสอบแล้ว เราหันไปดูอย่างตกใจ โชคดีที่เราอยู่ลำดับท้าย ๆ ในการสอบ ยังมีเวลาฝึก เจบอกให้โฟกัสความสัมพันธ์ของมือที่เหวี่ยงเชือกแล้วเท้าที่กระโดดด้วย เหลืออีก ๕ คนจะถึงเรา
            อย่าตื่นเต้นสิ ไม่ต้องสนใจคนอื่น
            เรากระโดดได้ ๕ ครั้งติดกัน
            ดีแล้ว นี่ไง ทำแบบนี้ล่ะ มองหน้าเรานะ ตอนกระโดดน่ะ
           
            .........................

            ออดเลิกเรียนบอกหมดเวลาคาบพละ เหลือเพื่อนอีก ๓ คนรอสอบอยู่ แต่อาจารย์ให้คนอื่น ๆ เลิกเรียนได้ เจยืนดูจนเราสอบเสร็จแล้วก็เดินไปไหนไม่รู้
            รู้จักกับ เจ ด้วยเหรอ ทำไมเขามาคุยกับน้ำล่ะ จูนถาม
            เคยเจอที่แปลงสวนครัวน่ะ แล้วก็มาซื้อดอกไม้ทีนึง
            เขาสนใจต้นไม้เหรอ จะเข้าชมรมหรือไง
            อาจจะ นะ
            จูนทำให้เราคิดไปถึงเรื่องนี้ ทำไมเราไม่นึกมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาเข้ากับเพื่อนในกลุ่มไม่ได้ หรือไม่ชอบคนเยอะ เจอาจจะแค่อยากเข้าชมรมต้นไม้
            เจอทุกทีเลยเหรอที่แปลงผัก
            ก็สองครั้งหลังที่เราไปน่ะ
            งั้นวันนี้พวกเราไปช่วย
            จูน หันไปตะโกนเรียก กุ๊ก นก และอุ๋ม พอบอกว่าจะไปแปลงผักเพื่อชวนเจมาเข้าชมรม ทั้งสามคนก็ดูจะเต็มใจไปมากขึ้น เราไม่แน่ใจเท่าไรว่าเจจะอยู่ที่นั่นไหม และเราไม่รู้ด้วยว่าเขาอยากเข้าชมรมหรือเปล่า เพราะเจไม่เคยพูดเรื่องชมรม แต่ใครจะอุตส่าห์มาที่นี่ ถ้าไม่ชอบต้นไม้ พอเราทั้งห้าคนเดินไปถึง ก็เห็นเจยืนพิงประตูห้องเครื่องมือ อ่านหนังสือคู่มือวิชาใดวิชาหนึ่งอยู่ เขาดูงง ๆ เมื่อเห็นพวกเรา และไม่ได้ยิ้มให้เหมือนทุกที
            เจ ไม่ได้ช่วยรดน้ำต้นไม้ หรือพรวนดิน หรือทำอะไรเลย อันที่จริงเขาแค่ยืนดูเฉย ๆ คงเพราะไม่ว่าเจจะหยิบเครื่องมือเกษตรอันไหน ทุกคนก็อยากจะใช้แบบเดียวกับที่เจใช้ ในที่สุดเพื่อนทั้งสี่คนจึงช่วยกันรดน้ำต้นไม้ด้วยบัวรดเพียงสองอัน โดยผลัดกันเติมน้ำ เราจึงพรวนดิน และใส่ปุ๋ยเล็กน้อย ระหว่างจูนรอกุ๊กไปเติมน้ำ ก็ชวนเจคุย
            เจ เห็นน้ำบอกว่าชอบต้นไม้เหรอ
            อืม
            งั้นเข้าชมรมพวกเราไหม ชมรมสวนครัวน่ะ ไม่ได้มีต้นไม้อะไรเยอะ มีแค่ผักสวนครัวนี่แหละ ไม่ต้องทำอะไรมากด้วยนะ ถึงเวลาชมรมก็ไปเล่นได้
            เราลงชื่อในชมรมบาสแล้ว
            อ้าว แล้ว...
            จูนพูดไม่ทันจบ เจก็เดินไป เราไม่ได้เงยหน้ามอง จึงไม่เห็นว่าเขาเป็นอะไร หรือไม่พอใจอะไร จูนเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ แล้วหันมาบอกเราว่าจะกลับแล้ว โดยจะเอาฝักบัวไปเก็บให้ อย่างน้อยถ้าเขาจะช่วยรดน้ำให้ครบทุกแปลงก่อนก็คงจะดี
            พอเราเดินมาถึงที่รอรถสองแถวก็เจอเจยืนพิงรถรออยู่ หน้าตาไม่ค่อยดี ไม่ใช่สิ หน้าตาดี แต่อารมณ์ไม่ดี เราพยายามนึกถึงสาเหตุ  เจส่งหมวกกันน็อคสีขาวให้เรา หมวกของเจสีดำ คนที่นี่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันทั้งนั้น ตำรวจจราจรในกรุงเทพคงเข้มงวดมาก
            เราไม่ได้บอกคนอื่นนะ เพราะเจนั่นแหละ พวกเขาถึงรู้ว่าเรารู้จักกัน
            เธอนั่งหันข้างแบบผู้หญิงไม่เป็นเหรอ
            เจ หันมาบอกหลังสตาร์ทรถ เรายังนั่งแบบเดิมเกาะเสื้อเขาแน่น
            เราไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์
            คนต่างจังหวัดเค้าหัดขับมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เดินได้ไม่ใช่เหรอ
            เราไม่รู้
            เขาหันมายิ้มก่อนออกรถ เจไม่ได้ขับเร็วเหมือนคนอื่น ๆ ทำให้หันมาคุยไปด้วยได้ไม่ลำบาก และแทบไม่ต้องตะโกนสู้เสียงลม
            เราไม่ได้ว่าอะไรเรื่องนั้น พวกนั้นเพื่อนน้ำเหรอ
            ใช่
            เออ เราเพิ่งรู้ว่าเธอชื่อ น้ำเพื่อนสนิทเหรอ
            ก็อยู่กลุ่มนี้ตั้งแต่ ม.๔
            แล้วทำไมเค้าเพิ่งมาช่วยงานที่แปลงผักล่ะ สนิทกับใครที่สุดในกลุ่มล่ะ
            อืม ไม่มีใครเป็นพิเศษหรอก ก็เท่า ๆ กัน
            ถึงหน้าร้าน เราพยายามแกะหมวกคืนให้ แต่ที่ปลดล็อคเหมือนจะพันกับเส้นผม ยิ่งดึงยิ่งเจ็บ เจ ค่อย ๆ ดึงออกให้
            เราไม่ได้กลัวว่าใครจะรู้ ที่เรารู้จักกัน น้ำต่างหากควรจะกลัว
            ทำไมล่ะ
            ก็เราชื่อเสียงไม่ดีไม่ใช่รึไง ใคร ๆ ก็พูดกัน ไม่รู้เลยเหรอ
            เราไม่รู้
            เจ ยิ้มล้อ ๆ เขาคงขำประโยคติดปากของเรา
            ที่เราได้ยินมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เราไม่ถือว่ารู้หรอก
            งั้นก็รู้ไว้ด้วยนะว่าเราไม่ได้ชอบต้นไม้
            จูนเค้าพูดเอง เรา...
            เราชอบอยู่กับน้ำ ถึงได้มาที่แปลงผัก
            เจ พูดประโยคสุดท้ายโดยไม่รอให้เราพูดจบด้วยซ้ำ ก่อนยิ้มแล้วก็ขับรถกลับบ้านไป

            ไม่เคยมีใครบอกว่าชอบอยู่กับเรามาก่อน เราอธิบายไม่ถูกว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาชอบที่เราพูดน้อย หรือที่เราพูดช้า หรือที่เรามักจะพยักหน้าและส่ายหน้าแทนการพูดออกมาเป็นคำ แต่เจก็บอกว่าชอบอยู่กับเรา ทั้งยังไม่ได้แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงที่เป็นเพื่อนกับเรา เท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เรารู้สึกดีมากขนาดนี้
            

No comments:

Post a Comment