Tuesday, September 13, 2011

Chapter 1.... 1st Monday of November

Chapter 1


            เราเคยเล่าให้เธอฟังไหมว่า โรงเรียนเราเป็นยังไง
            โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนใหญ่ประจำจังหวัด เด็กที่มาเข้าโรงเรียนนี้มีตั้งแต่ลูกหลานท่านส.ส.  ไปจนถึงลูกชาวนาชาวไร่ เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุดของจังหวัด และก็มีนักเรียนที่เรียนไม่ค่อยดีนักแต่มีเส้นสาย เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ลุงเราทำงานที่อำเภอ ตำแหน่งไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก อาศัยว่ารู้จักครูพละในโรงเรียน เลยฝากให้เราเข้าโรงเรียนได้ เพราะคะแนนของเราตอนจบ ป. ๖ ไม่ดีพอ ทั้งที่เราเป็นเพียงหลานที่ของผู้หญิงที่ลุงแต่งงานด้วย แต่ตอนนั้นลุงก็พยายามวิ่งเต้นให้เราได้เรียนที่นี่ให้ได้ เพราะการบอกใครๆ ว่าหลานสาวเรียนอยู่ที่นี่ดีกว่าบอกว่าจบประถมเป็นไหน ๆ
            บ้านเราเป็นร้านขายดอกไม้ ร้านที่ลุงกับป้าเปิดด้วยกัน ป้าเราชอบดอกไม้มาก พวงมาลัยของป้าสวยที่สุดในจังหวัด แต่ร้านของป้าไม่ได้ดังที่สุด เพราะร้านดัง ๆ ย้ายเข้าไปขายในห้างที่เพิ่งมาเปิดเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว และร้านที่ขายดี ๆ ก็อยู่บริเวณรอบ ๆ ห้างนั้นเสียมาก บ้านเราอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึง ๑๐ กิโลเมตร ห้องนอนของเราอยู่ชั้นบนของร้าน บริเวณไม่กว้างนัก แต่ข้าวของเรามีเพียงตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ เบาะนอนหนา ๆ และโต๊ะญี่ปุ่นนั่งพื้น ทำให้เราอยู่ได้อย่างไม่อึดอัดอะไร พอปิดร้านเวลา ๖ โมงเย็น ช่วยกันป้าหลานเก็บร้านเสร็จ ป้าก็ขับรถกระบะกลับไปกินข้าวเย็นกับลุงและลูก ๆ เราจึงถือว่าได้เป็นเจ้าของตึก ๒ ชั้นเล็ก ๆ นี้แต่เพียงผู้เดียวจนถึงรุ่งเช้า เมื่อเขาเอาดอกไม้มาส่งตอนตี ๔ เราจะตื่นมาจัดของ จนตี ๕ ป้ามาเปิดร้าน เราอาจได้นอนต่อจนกว่าจะถึงเวลาไปโรงเรียน
ทุกเช้าเราคอยรถสองแถวเพื่อไปโรงเรียน จริง ๆ แล้ว นักเรียนในชั้นเดียวกันหรือเด็กกว่า ๒-๓ ปี ต่างขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนทั้งนั้น แต่เราไม่มีมอเตอร์ไซค์ และแม้แต่จักรยานเราก็ขับไม่เป็น เราเดินทางไปกลับจากโรงเรียนด้วยรถสองแถวทุกวัน เมื่อถึงบ้านก็จะทำการบ้านหรือช่วยป้าทำดอกไม้  ร้อยพวงมาลัย หรือพวงหรีด ป้าเคยบอกว่าป้าโชคดีที่ได้มรดกจากคุณตาคุณยายของเรา จึงได้มีทุนมาเปิดร้านได้ แม่เราโชคร้าย แม่ไม่ได้มรดกอะไร แต่เพราะเราไม่เคยเจอคุณตาคุณยาย เราจึงไม่นึกโกรธอะไรที่พวกท่านจะไม่แยแสแม่เรา ทั้งที่มีลูกสาวแค่ ๒ คน และแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรถึงคุณตาคุณยายนัก
บ้านที่เราเคยอยู่กับแม่ไม่ได้อยู่ในเมือง และแม่ก็ไม่ได้ชอบดอกไม้เหมือนป้า แม่เราตัดเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าได้ดีพอ ๆ กับฝีมือจัดดอกไม้ของป้า บ้านเก่าเราเป็นบ้านไม้เล็ก ๆ มีเพียงเรา แม่ และพ่อเลี้ยงอยู่กัน ๓ คน เมื่อแม่ตายเสียตอนเราจบชั้น ป. ๕ พ่อเลี้ยงก็ทนเลี้ยงเราจนจบชั้นประถม แล้วส่งเรามาอยู่กับป้า ลุงไม่ค่อยจะพอใจนัก เรารู้ได้จากเวลาที่ลุงบ่นกับป้าเวลาที่นึกว่าเราหลับไปแล้ว ครอบครัวลุงกับป้าไม่ได้มีเงินมากมาย น้องชาย ๒ คนกำลังเรียน ป. ๑ และ ป. ๒ ก็ต้องใช้เงินมาก ตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้น ม. ๑ ที่โรงเรียนนี้ เราจึงเป็นนักเรียนทุนมาตลอด ป้านำรายได้ที่ได้จากร้านดอกไม้ให้เราใช้เป็นค่าอาหารและค่ารถ โชคดีที่เราไม่ค่อยได้ออกไปไหน และไม่เคยไปเที่ยว จึงไม่ขัดสนเงิน บางทีป้าให้เงินพิเศษเวลามีงานศพที่ต้องสั่งพวงหรีดมาก ๆ หรืองานแต่งงานที่จัดที่บ้าน แล้วจ้างป้าเราไปทำดอกไม้
ป้าอายุมากกว่าแม่เรา ๕ ปี ตอนแม่ท้องเรา ป้าเรียนจบปวส. พอดี ป้าไม่รู้ว่าพ่อเราอยู่ที่ไหน แม่เราเองก็ไม่เคยพูดถึงพ่อ เมื่อแม่อุ้มท้องเรา แม่ตัดขาดจากทุกคน หรือจะพูดให้ถูกก็คือทุกคนตัดขาดจากแม่ ยกเว้นป้าเราที่นาน ๆ ทีจึงติดต่อช่วยเหลือแม่บ้าง เท่าที่จำได้เรามีพ่อเลี้ยง ๒ คน โชคดีที่แม่เราสวย จึงมีคนเอ็นดูแม่มาก แต่เราคงไม่สวยเหมือนแม่ พ่อเลี้ยงทุกคนจึงไม่เคยยินดีกับการที่แม่มีเราติดไปอยู่ด้วยเลย
แม่สอนแต่ว่าให้ตั้งใจเรียน เราจึงโตมาโดยไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเรียน แต่เราโชคร้ายที่หัวไม่ดี เราเรียนผ่านแต่ละชั้นมาแบบฉิวเฉียดเสมอ และเราไม่มีงานอดิเรกอะไร ตั้งแต่มาอยู่กับป้า นอกจากการเรียนแล้ว เราจึงรู้จักแต่ดอกไม้เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ขึ้น ม.๔ มา หน้าที่ประจำในโรงเรียนของเรานอกจากเรียนหนังสือ พยายามสอบให้ผ่านวิชาพละ และทำเวรประจำวันในห้องแทนเพื่อน ๆ ที่หนีไปเที่ยว ก็คือดูแลแปลงสวนครัว ซึ่งเป็นงานที่เราเต็มใจทำ ประธานชมรมสวนครัวยินดีที่ได้เรามาอยู่ชมรมนี้ เพราะเราขยันดูแลต้นไม้มาก สมาชิกคนอื่น ๆ ในชมรมจำเป็นต้องเข้าชมรมนี้เพียงเพราะไม่ผ่านการคัดตัวชมรมอื่น ๆ พวกกีฬา ดนตรี หรือวิชาการ หรือบางคนก็อยู่ชมรมนี้เพราะไม่ต้องทำอะไรมาก และใช้เวลาไปนั่งเล่น หรือแฝงตัวตามมุมอื่น ๆ ของโรงเรียนได้ ดังเช่นเพื่อน ๔ คนที่อยู่ห้องเดียวกับเรา
และเพื่อน ๔ คนนี้ถือเป็นเพื่อนที่เราสนิทที่สุดในโรงเรียน ถ้าหากว่าความสนิทสนมวัดจากการนั่งกินอาหารกลางวันโต๊ะเดียวกัน การจับกลุ่มทำรายงาน และการนั่งใกล้ ๆ กันในห้องเรียน จูน หน้าตาน่ารักที่สุดในกลุ่ม ที่บ้านของจูนขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดชื่อดัง และจูนมีเชื้อจีน จูนจึงขาวหมวย และน่ารักที่สุดในห้อง แต่ถ้ารวมทั้ง ๗ ห้องของระดับชั้น ม. ๕ นั้น เด็กผู้หญิงสวย ๆ จะเรียนอยู่ห้องคิงส์ของ สายวิทย์-คณิตเสียมาก รวมทั้งเมย์ ประธานนักเรียนผู้หญิงคนดังของโรงเรียน เมย์ เคยถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบลงนิตยสารหลายครั้ง จูนบอกว่า ถ้าเธอได้ไปเรียนพิเศษทุกเสาร์-อาทิตย์ที่สยามสแควร์ ก็คงมีคนชวนเธอไปถ่ายแบบบ้างเหมือนกัน
เราไม่เคยไปสยามสแควร์ และเราไม่เคยไปกรุงเทพฯ ถึงแม้จังหวัดที่เราอยู่จะห่างจากกรุงเทพเพียง ๓ ช.ม. เราจึงไม่ค่อยเข้าใจที่จูนพูดสักเท่าไร แต่ต่อให้เราไปเดินเหยียบเท้าแมวมองที่ว่า เขาก็คงไม่สนใจชวนเราไปเป็นดาราสักเท่าไร นอกเสียจากด่าเราเปิง บรรพบุรุษเราเป็นคนไทย เราจึงไม่ขาวเหมือนจูน เราไม่ฉลาด หรือช่างพูด เราจึงไม่ได้โดดเด่นหรือเป็นที่รู้จักอย่างพวกกรรมการนักเรียน อันที่จริงเราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเพื่อนในห้องทุกคนจะรู้จักชื่อเล่นเรา พวกจูนเท่านั้นที่เรียกเราว่า น้ำ เพื่อนคนอื่น ๆ เรียกว่าเรา ฉัตรลดา 

No comments:

Post a Comment