Tuesday, September 13, 2011

Chapter 6... The next day/ November

Chapter 6

            ตั้งแต่เจอหน้ากัน จูนก็เอาแต่ถามว่า เมื่อวานเจไม่พอใจอะไรเขา เราไม่รู้เลยจริง ๆ เราจึงไม่ตอบอะไร ได้แต่ส่ายหน้า ตลอดที่เรียนคาบเช้า จูนยังพูดแต่เรื่องที่เจหนีไปซะดื้อ ๆ แล้วสรุปในตอนท้าย ว่าเจแย่อย่างที่น้อง ๆ บอกมาจริง ๆ พอกุ๊กซักว่าน้องคนไหน ยังไง จูนถึงเล่าว่ามีน้อง ม.๓ เคยเอาคุ๊กกี้ไปให้เจ พอน้องเขาคะยั้นคะยอจนเจรับคุ๊กกี้ไว้ เจก็เอาไปทิ้งถังขยะตรงหน้านั่นเอง แล้วหันมาบอกประมาณว่า ทีหลังไม่ต้องเอามาให้อีกนะ เสียดายของ น้องคนนั้นร้องไห้ใหญ่ และจึงไม่มีใครพยายามเอาอะไรไปให้เจอีก และจูนบอกอีกว่าเพื่อน ๆ ในห้องเจก็ไม่มีใครชอบเจเลยสักคน กลุ่มเมย์ ให้อยู่ด้วย ก็เพราะว่าหล่อ และดูไฮโซ เนื่องจากเป็นคนกรุงเทพ
            เราไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้สักเท่าไร แต่จูนถึงกับเดินมานั่งคุยให้ฟังตรงที่นั่งข้างเรา ซึ่งปกติไม่มีคนนั่ง แล้วเรียกให้กุ๊กหันหลังมาคุยกัน ที่จริงจูนนั่งหน้าสุดคู่กับนก ถัดมาอีก ๓ โต๊ะจึงเป็นโต๊ะของอุ๋มกับกุ๊ก เรานั่งโต๊ะหลังสุดคนเดียว นักเรียนห้อง ๓ มีทั้งหมด ๓๖ คน จึงมีอีกคนหนึ่งที่นั่งเดี่ยว แต่ปอยอยู่กลุ่มหัวหน้าห้อง ซึ่งนั่งมุมขวาด้านหน้าริมหน้าต่าง เราไม่สนิทกับเขาถึงขนาดกล้าเดินไปนั่งด้วย ชั้นนี้เป็นห้องเรียนประจำของสายวิทย์ทั้งสามห้องเรียงกัน
            โชคดีที่จูนได้บทสรุปเรื่อง เจ ก่อนไปถึงโรงอาหาร เราจึงมีความหวังว่าไม่ต้องทนฟังเรื่องเดิม ๆ ตอนกินข้าวอีก กลุ่มของเมย์นั่งโต๊ะเดิมของพวกกรรมการนักเรียน โต๊ะนั้นคนแน่นมาก เรากวาดตามองไม่ทันครบทุกคนขณะเดินผ่าน วันนี้เราเลือกต่อแถวร้านเบอร์ ๕ ซึ่งวางอาหารเป็นจาน ๆ ที่ทำมาแล้ว เป็นร้านที่เราชอบที่สุด ไม่ใช่เพราะรสชาติหรือราคา แต่เพราะตอนซื้อเพียงแค่หยิบจานที่ชอบแล้วส่งเงินให้ป้าคนขายเท่านั้น ไม่ต้องพูดอะไรตอนสั่ง
            ร้านนี้ไม่อร่อยสักอย่าง ทำไมกินบ่อยอ่ะ
            เราสะดุ้งกับเสียงกระซิบจากข้างหลัง แล้วหันไปดู เจยักคิ้วแล้วยิ้มให้เหมือนพอใจที่ทำให้เราตกใจได้ เราไม่ได้ตอบอะไร เพราะถึงคิวพอดี จึงหยิบอาหารจานที่อยู่ใกล้ที่สุด เจตามมายืนข้าง ๆ แล้วหยิบข้าวผัดกับราดหน้า
            สามจานครับ
            เรารีบส่งแบงค์ยี่สิบให้พอออกจากแถว
            เอาไปซื้อน้ำละกัน เราเอาน้ำส้มนะ แก้วใหญ่
            เจ เอาจานที่มือเราไปถืออีก แล้วเดินไปหาที่นั่งว่าง ๆ น้ำสองแก้วแค่สิบบาท เราซื้อน้ำส้มเหมือนเจ แล้วเดินไปที่เจโบกมือเรียก พวกจูนนั่งห่างออกไปอีกฟากนึง กลุ่มกรรมการนักเรียนหันมามองเจกันทั้งโต๊ะ เราจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน แต่เจก็ยังกินหมดก่อนอยู่ดี
            กินเสร็จแล้วปลุกด้วยนะ น้ำ
            ยังดีกว่าผู้ชายชอบกินน้ำส้มละกัน
            นึกขึ้นได้ว่าการพูดจากระแทกกระทั้นนั้นไม่ดีเลย เราจึงรีบเงยหน้ามองเจ เขาได้แต่ยักไหล่
            ก็เราชอบน้ำส้มจริง ๆ
            ทั้งที่เจทำท่าเหมือนไม่แคร์ที่โดนล้อเรื่องนี้ แต่แววตาเขิน ๆ ของเขาทำให้เรายิ้มกว้าง เพราะพยายามกลั้นหัวเราะ การหัวเราะเยาะคนอื่นก็ไม่ดี
            เพิ่งเคยเห็นเธอยิ้มเยอะขนาดนี้ ถ้าเรากินน้ำส้มแล้วเธอยิ้มแบบนี้ ก็ไม่น่าอายแล้วล่ะ
            อะไรสักอย่างในรอยยิ้มตอบของเจ ทำให้เรารีบก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานซึ่งปรากฏว่าเป็นผัดมักกะโรนีต่อไป
            โจ๊กเดินมาแล้ว สงสัยจะมาโน้มน้าวให้ลงแข่งบาสด้วยอีกแน่ ๆ มันพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เราเข้ามาเรียนวันแรกเลย
            แล้วทำไมไม่แข่งล่ะ ไม่ชอบเล่นเหรอ
            ชอบเล่น แต่เบื่อแข่ง น้ำชอบบาสไหมล่ะ
            ไม่ชอบอะไรเลย เล่นไม่เป็น ดูไม่เป็นด้วย
            ที่นี่เรียนบาสเมื่อตอน ม.๔ ไม่ใช่เหรอ
            เราได้เกรด ๒ วิชาพละ... แล้วทำไมไม่แข่งล่ะ ของโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ถ้าช่วยโรงเรียนก็ดีไม่ใช่เหรอ
            อยากให้เราแข่งเหรอ
            เราไม่ได้ตอบอะไร เพราะคิดไปถึงว่าถ้าเจลงแข่ง คนทั้งโรงเรียนจะอยู่เย็นเพื่อดูเลยไหม อย่างน้อยพวกจูนต้องรอดูแน่ ๆ ถึงแม้จะได้ข้อสรุปแบบนั้นเกี่ยวกับเจก็เถิด
            ถ้าเราแข่ง น้ำจะรอดูรึเปล่า
            เราพยักหน้าตอบ เราไม่เคยดูการแข่งบาสมาก่อน ไม่ว่าจะแข่งบอล หรือวอลเลย์ก็ไม่เคยดู โรงเรียนของเรามีสนามกีฬาใหญ่ที่สุดในบรรดาโรงเรียนอื่น ๆ ในจังหวัด จึงมักจะเป็นเจ้าของสถานที่การแข่งขันเสมอ
            มึงเปลี่ยนใจยัง ซ้อมสามวันก็ทัน วันพุธก็แข่งแล้ว นัดเดียว แล้วมึงไม่ต้องเล่น กูไม่อยากเอาเด็ก ม. ๔ ลง
            กรรมการนักเรียนฝ่ายกีฬา ชื่อ โจ๊ก นี่เอง เราเคยแต่เห็นหน้า ไม่รู้จักชื่อ เขาพูดขึงขังกับเจแล้วก็หันมายิ้มให้เรา ดูเหมือนจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราคือคนที่เค้าวิ่งมาขอโทษขอโพยเมื่อ ๔ วันก่อน
            วันนั้นไหว้ขอโทษเขา วันนี้ก็ไหว้ขอบคุณซะ เพราะน้ำอยากดู เราถึงลงแข่ง
            โจ๊ก หันมาไหว้เราแล้วอึ้ง ๆ แกมตกใจ แล้วขอโทษเราเรื่องลูกบาสอีกหลายสิบครั้ง ก่อนวิ่งไปบอกข่าวนักบาสคนอื่น ๆ ไม่น่าแปลกใจที่คนเห็นเราแล้วจะจำไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ครูประจำชั้นยังเข้าใจมาตลอดครึ่งเทอมแรกว่าเราเรียนอยู่ห้องสายศิลป์
            เราไม่ได้บอกให้ลงแข่งสักหน่อย
            หน้าตาเธอบอกว่าอยากดูซะขนาดนั้นน่ะนะ
            โจ๊กอาจไม่ได้บอกแค่กลุ่มนักบาสด้วยกันว่า เจ จะลงแข่งด้วย เพราะทั้งห้องเราก็รู้กันหมด หลังพักเที่ยง จูนไม่ได้มานั่งโต๊ะข้าง ๆ เราอีก ถ้าเราไม่ได้คิดไปเอง จูนแทบไม่ได้สบตาเราเลย คาบสุดท้าย เราลุกออกจากโต๊ะแบบเซ็ง ๆ ไม่แน่ใจว่าจะเดินออกไปรอรถหน้าโรงเรียนเลย หรือว่าไปที่สนามบาสดี เจบอกว่าซ้อมตั้งแต่เย็นนี้น่าจะดี เพราะว่าไม่เคยเล่นพร้อมกับทั้งทีม เหตุผลที่เจไม่ชอบแข่ง เพราะไม่อยากทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม มีการแข่งขันทีไร ต้องมีเรื่องชกต่อยเกือบทุกที เขาหวังว่าที่นี่จะไม่เป็นอย่างนั้น
            เราออกจากห้องเกือบเป็นคนสุดท้าย ตามหลังกลุ่มหัวหน้าห้อง ถึงหน้าประตู ปอยก็หันมาพูดว่า
            อ๊ะ มีคนมารอด้วย
            เจ นั่งอยู่หน้าห้อง ในมือถือหนังสือสรุปชีววิทยา ๔ ๕ ๖ เขาเงยหน้าจากหนังสือยิ้มให้แล้วมารับกระเป๋าเราไปถือไว้ เราเดินตามไปเงียบ ๆ จนถึงสนามบาส เจ บอกให้เรานั่งตรงที่นั่งข้างสนามข้าง ๆ กลุ่มของเมย์ คนรอบสนามเริ่มมายืนดู เราไม่รู้ว่าเจเล่นเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเขาได้จับลูกเมื่อไร เสียงเชียร์จะดังกว่าคนอื่น เราเริ่มสงสัยว่าโจ๊กอยากให้เจเล่น เพราะเจเก่ง หรืออยากให้คนมาดูเยอะกันแน่ เรามัวแต่มองทั้งคนเล่น คนดู จนไม่รู้ว่ามีพี่ผู้หญิง ม. ๖ มายืนใกล้ ๆ พอเราสบตาพวกเขาทั้ง ๓ คน ก็รู้สึกได้ว่าตรงนี้คงเป็นที่ประจำของเขาแน่ ๆ เราหอบกระเป๋าทั้งสองใบลุกออกจากที่แล้วเดินไปได้สองก้าว ก็มีเสียงคนร้องกรี๊ด และเงียบกันหมด
            ในสนามเจนั่งกองกับพื้นเอามือกุมหน้าด้านขวา
            เฮ้ย มึงดูลูกดิวะ ในสนามมึงมองไปไหน เล่นงี้อันตรายนะ
            โจ๊กตะโกนต่อว่าเจ พลางวิ่งเข้าไปหา เพื่อนอีกคนยืนขอโทษ แล้วพยายามดึงมือ เจ ออกดูว่าอาการเป็นยังไง เราได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้น เจลดมือลง และบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร เขาลุกขึ้นยืนและสะบัดหน้า สองสามที ดูว่าที่ลูกบาสกระแทกหน้านั้นส่งผลร้ายแรงหรือไม่ แล้วก็เดินออกมาหาเรา มีโจ๊กตามหลังมาติด ๆ
            ลุกไปไหนล่ะ น้ำ เบื่อเหรอ
            โหว ดีไม่เข้าตาบอด กูไม่มีตัวสำรองแล้วนะ
            เจ ไม่ได้สนใจฟังโจ๊กพูดเลย เอาแต่จ้องหน้าเราแล้วคลำหน้าผากป้อย ๆ โจ๊กเลยหันมาพูดกับเรา
            น้ำครับ อย่าลุกไปไหนได้ไหมครับ เวลาเจแข่ง เวลาเจซ้อม น้ำนั่งที่เดิมเฉย ๆ อย่าขยับตัว อย่าหายใจนะครับ
            เจ ผลักหน้าโจ๊ก แล้วถามเราอีก
            อยากกลับแล้วเหรอ
            เปล่า เราย้ายที่นั่งเฉย ๆ
            จากที่เคยโดนกระแทกเข้าที่ไหล่แบบไม่ตั้งใจมาแล้ว เราพอจะเข้าใจได้ว่าโดนเข้าที่หน้าแบบปามาจัง ๆ จะเจ็บแค่ไหน เรารู้สึกแย่มากที่ลุกออกมา แต่เราก็นั่งที่เดิมต่อไม่ได้ เราคงหน้าเสียมาก เจถึงรีบบอกว่า
            ไม่เป็นไร ไม่เจ็บมาก มึน ๆ         
            โจ๊กเดินมาอีกทีพร้อมผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง แล้วลากแขนเจจะพาไปนั่ง เจคว้าแขนเราทันพอดี ที่นั่งพักนักกีฬาก็คือม้านั่งที่เดิมกลุ่มเมย์นั่งกันอยู่ เจ ชี้ให้เราลงนั่งข้าง ๆ เจนั่งเอาผ้ากดหน้าไว้สักพักพลางบอกว่าจะให้โจ๊กหาที่นั่งให้เรา แล้วก็ลุกไปซ้อมต่อ
            เราถึงบ้าน ๕ โมงเย็น เจขับรถมาส่ง

Chapter 5... Wednesday of the same week

Chapter 5


            ตั้งแต่เข้าแถวเคารพธงชาติ เราก็บอกได้เลยว่าวันนี้จะต้องเป็นวันที่แย่แน่ ๆ เพราะคาบสุดท้ายวิชาพละ เราต้องสอบกระโดดเชือก ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยกระโดดเชือกได้เลยแม้แต่ทีเดียว เสื้อพละโรงเรียนเราสีชมพู นักเรียนผู้หญิงใส่กางเกงวอร์มมาโรงเรียน เมื่อก่อนต้องใส่กระโปรงมาก่อน แล้วเอากางเกงมาเปลี่ยน แต่พอเมย์เป็นประธานนักเรียนก็พยายามหาเหตุผลมาเปลี่ยนกฎข้อนี้ของโรงเรียน เมย์ อยู่ในตำแหน่งได้สองอาทิตย์ ก็เป็นที่รักของนักเรียนหญิงทั้งโรงเรียน เพราะไม่มีใครอยากเอากางเกงวอร์มยัดใส่กระเป๋ามาเรียนด้วย
            เรารู้สึกไม่ดีตลอดที่เรียนคาบเช้า ได้แต่ภาวนาว่าตอนสอบแค่ทำท่ากระโดด อาจารย์คงให้คะแนนบ้าง หรือเพื่อน ๆ คงแยกย้ายกันซ้อม จนไม่ได้มีเวลามาจับจ้องรอดูคนที่สอบ เราเกลียดการถูกมอง ยิ่งถูกมองยิ่งทำได้แย่ลง ตอนกลางวันเรากินอะไรไม่ลง มักกะโรนีหมดไปแค่ครึ่งจาน เราก็ปวดท้องไปหมด แต่เราไม่ได้ไปห้องพยาบาลเพราะรู้ว่าอาการนี้เกิดมาจากจิตใจที่โดนกดดันมากกว่าความผิดปกติของร่างกาย
            ก่อนสอบอาจารย์ให้ทุกคนแยกย้ายไปซ้อมได้ กระโดดได้ ๑๐ ที ถือว่าผ่าน มากกว่านี้เราไม่รู้ว่าได้คะแนนเท่าไร เพราะไม่สนใจจะฟังอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคาบนี้เป็นวิชาอิสระของห้องอื่นรึเปล่า เพราะดูจะมีคนรอบ ๆ สนามบาสที่เราใช้เรียนพละเยอะกว่าปกติ ในที่สุดเราก็กระโดดได้ ๑ ครั้ง หลังจากเอาเชือกฟาดหัวตัวเองไปหลายที ที่เห็นจากหางตา คนเริ่มมาอยู่ตรงรอบสนาม รอให้ห้องเราเลิกเรียนจะได้เข้ามาเล่นบาสล่ะมั้ง เราไม่มีสมาธิเลย อาจารย์น่าจะยอมให้ไปสอบเดี่ยวในห้องพักครู โดยที่ไล่ครูคนอื่นออกไปให้หมด
            จู่ ๆ ก็มีคนมายึดมือเราไว้
            ก้มหน้าก้มตาอย่างนั้น จะกระโดดได้ไงล่ะ
            เจ เอาเชือกไปถือ เตรียมพร้อม
            เดี๋ยวทำให้ดู แบบช้า ๆ
            เจ กระโดดให้ดู แล้วพยายามสอนเราช้า ๆ เพื่อนคนแรกเริ่มสอบแล้ว เราหันไปดูอย่างตกใจ โชคดีที่เราอยู่ลำดับท้าย ๆ ในการสอบ ยังมีเวลาฝึก เจบอกให้โฟกัสความสัมพันธ์ของมือที่เหวี่ยงเชือกแล้วเท้าที่กระโดดด้วย เหลืออีก ๕ คนจะถึงเรา
            อย่าตื่นเต้นสิ ไม่ต้องสนใจคนอื่น
            เรากระโดดได้ ๕ ครั้งติดกัน
            ดีแล้ว นี่ไง ทำแบบนี้ล่ะ มองหน้าเรานะ ตอนกระโดดน่ะ
           
            .........................

            ออดเลิกเรียนบอกหมดเวลาคาบพละ เหลือเพื่อนอีก ๓ คนรอสอบอยู่ แต่อาจารย์ให้คนอื่น ๆ เลิกเรียนได้ เจยืนดูจนเราสอบเสร็จแล้วก็เดินไปไหนไม่รู้
            รู้จักกับ เจ ด้วยเหรอ ทำไมเขามาคุยกับน้ำล่ะ จูนถาม
            เคยเจอที่แปลงสวนครัวน่ะ แล้วก็มาซื้อดอกไม้ทีนึง
            เขาสนใจต้นไม้เหรอ จะเข้าชมรมหรือไง
            อาจจะ นะ
            จูนทำให้เราคิดไปถึงเรื่องนี้ ทำไมเราไม่นึกมาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาเข้ากับเพื่อนในกลุ่มไม่ได้ หรือไม่ชอบคนเยอะ เจอาจจะแค่อยากเข้าชมรมต้นไม้
            เจอทุกทีเลยเหรอที่แปลงผัก
            ก็สองครั้งหลังที่เราไปน่ะ
            งั้นวันนี้พวกเราไปช่วย
            จูน หันไปตะโกนเรียก กุ๊ก นก และอุ๋ม พอบอกว่าจะไปแปลงผักเพื่อชวนเจมาเข้าชมรม ทั้งสามคนก็ดูจะเต็มใจไปมากขึ้น เราไม่แน่ใจเท่าไรว่าเจจะอยู่ที่นั่นไหม และเราไม่รู้ด้วยว่าเขาอยากเข้าชมรมหรือเปล่า เพราะเจไม่เคยพูดเรื่องชมรม แต่ใครจะอุตส่าห์มาที่นี่ ถ้าไม่ชอบต้นไม้ พอเราทั้งห้าคนเดินไปถึง ก็เห็นเจยืนพิงประตูห้องเครื่องมือ อ่านหนังสือคู่มือวิชาใดวิชาหนึ่งอยู่ เขาดูงง ๆ เมื่อเห็นพวกเรา และไม่ได้ยิ้มให้เหมือนทุกที
            เจ ไม่ได้ช่วยรดน้ำต้นไม้ หรือพรวนดิน หรือทำอะไรเลย อันที่จริงเขาแค่ยืนดูเฉย ๆ คงเพราะไม่ว่าเจจะหยิบเครื่องมือเกษตรอันไหน ทุกคนก็อยากจะใช้แบบเดียวกับที่เจใช้ ในที่สุดเพื่อนทั้งสี่คนจึงช่วยกันรดน้ำต้นไม้ด้วยบัวรดเพียงสองอัน โดยผลัดกันเติมน้ำ เราจึงพรวนดิน และใส่ปุ๋ยเล็กน้อย ระหว่างจูนรอกุ๊กไปเติมน้ำ ก็ชวนเจคุย
            เจ เห็นน้ำบอกว่าชอบต้นไม้เหรอ
            อืม
            งั้นเข้าชมรมพวกเราไหม ชมรมสวนครัวน่ะ ไม่ได้มีต้นไม้อะไรเยอะ มีแค่ผักสวนครัวนี่แหละ ไม่ต้องทำอะไรมากด้วยนะ ถึงเวลาชมรมก็ไปเล่นได้
            เราลงชื่อในชมรมบาสแล้ว
            อ้าว แล้ว...
            จูนพูดไม่ทันจบ เจก็เดินไป เราไม่ได้เงยหน้ามอง จึงไม่เห็นว่าเขาเป็นอะไร หรือไม่พอใจอะไร จูนเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ แล้วหันมาบอกเราว่าจะกลับแล้ว โดยจะเอาฝักบัวไปเก็บให้ อย่างน้อยถ้าเขาจะช่วยรดน้ำให้ครบทุกแปลงก่อนก็คงจะดี
            พอเราเดินมาถึงที่รอรถสองแถวก็เจอเจยืนพิงรถรออยู่ หน้าตาไม่ค่อยดี ไม่ใช่สิ หน้าตาดี แต่อารมณ์ไม่ดี เราพยายามนึกถึงสาเหตุ  เจส่งหมวกกันน็อคสีขาวให้เรา หมวกของเจสีดำ คนที่นี่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันทั้งนั้น ตำรวจจราจรในกรุงเทพคงเข้มงวดมาก
            เราไม่ได้บอกคนอื่นนะ เพราะเจนั่นแหละ พวกเขาถึงรู้ว่าเรารู้จักกัน
            เธอนั่งหันข้างแบบผู้หญิงไม่เป็นเหรอ
            เจ หันมาบอกหลังสตาร์ทรถ เรายังนั่งแบบเดิมเกาะเสื้อเขาแน่น
            เราไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์
            คนต่างจังหวัดเค้าหัดขับมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เดินได้ไม่ใช่เหรอ
            เราไม่รู้
            เขาหันมายิ้มก่อนออกรถ เจไม่ได้ขับเร็วเหมือนคนอื่น ๆ ทำให้หันมาคุยไปด้วยได้ไม่ลำบาก และแทบไม่ต้องตะโกนสู้เสียงลม
            เราไม่ได้ว่าอะไรเรื่องนั้น พวกนั้นเพื่อนน้ำเหรอ
            ใช่
            เออ เราเพิ่งรู้ว่าเธอชื่อ น้ำเพื่อนสนิทเหรอ
            ก็อยู่กลุ่มนี้ตั้งแต่ ม.๔
            แล้วทำไมเค้าเพิ่งมาช่วยงานที่แปลงผักล่ะ สนิทกับใครที่สุดในกลุ่มล่ะ
            อืม ไม่มีใครเป็นพิเศษหรอก ก็เท่า ๆ กัน
            ถึงหน้าร้าน เราพยายามแกะหมวกคืนให้ แต่ที่ปลดล็อคเหมือนจะพันกับเส้นผม ยิ่งดึงยิ่งเจ็บ เจ ค่อย ๆ ดึงออกให้
            เราไม่ได้กลัวว่าใครจะรู้ ที่เรารู้จักกัน น้ำต่างหากควรจะกลัว
            ทำไมล่ะ
            ก็เราชื่อเสียงไม่ดีไม่ใช่รึไง ใคร ๆ ก็พูดกัน ไม่รู้เลยเหรอ
            เราไม่รู้
            เจ ยิ้มล้อ ๆ เขาคงขำประโยคติดปากของเรา
            ที่เราได้ยินมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เราไม่ถือว่ารู้หรอก
            งั้นก็รู้ไว้ด้วยนะว่าเราไม่ได้ชอบต้นไม้
            จูนเค้าพูดเอง เรา...
            เราชอบอยู่กับน้ำ ถึงได้มาที่แปลงผัก
            เจ พูดประโยคสุดท้ายโดยไม่รอให้เราพูดจบด้วยซ้ำ ก่อนยิ้มแล้วก็ขับรถกลับบ้านไป

            ไม่เคยมีใครบอกว่าชอบอยู่กับเรามาก่อน เราอธิบายไม่ถูกว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาชอบที่เราพูดน้อย หรือที่เราพูดช้า หรือที่เรามักจะพยักหน้าและส่ายหน้าแทนการพูดออกมาเป็นคำ แต่เจก็บอกว่าชอบอยู่กับเรา ทั้งยังไม่ได้แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงที่เป็นเพื่อนกับเรา เท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เรารู้สึกดีมากขนาดนี้
            

Chapter 4... Monday of the last week/ November

Chapter 4


            พวกนั้นห้องไหน
            ห้อง ๓
            รู้จักใครบ้างไหม
            ถามไมวะ ก็นั่นไง จูน คนที่เราเจอเมื่อวานหน้าร้านพิซซ่า อ่ะ
            ..................
            ตกลงมึงแข่งไหม เจ ลงให้กูหน่อย อาทิตย์หน้าแล้ว กูขาดคน
            ไม่อ่ะ
            ไอ้—”
            โจ๊กขว้างลูกบาสใส่ โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว จึงเอามือปัดไปอย่างโกรธ ๆ ลูกบาสพุ่งใส่กลุ่มนักเรียนผู้หญิงที่พวกเขาเพิ่งพูดถึง ทุกคนเหมือนจะมองมาทาง เจ อยู่แล้วจึงหลบทัน ยกเว้นอยู่คนหนึ่งที่มัวก้มหน้าอ่านอะไรสักอย่างอยู่
            ขอโทษ ๆ เจ มันปัด เราไม่ได้ตั้งใจ
            น้ำส่ายหน้าปฏิเสธ ตกใจมากกว่าเจ็บตัว ลูกบอลกระแทกเข้าที่หัวไหล่ไม่แรงนัก แต่คนตัวการที่ปัดบอลมาโดนไม่ได้วิ่งเข้ามาขอโทษเหมือนโจ๊ก ได้แต่ยืนเกาหัวมองเงียบ ๆ โจ๊กไหว้ขอโทษอีกหลายที และยืนเถียงกับจูนจนเหนื่อย จึงวิ่งถือลูกบาสกลับมาหา เจ
            มึงไม่ไปขอโทษเค้าเลยนะ จูนด่ากูคนเดียว ถ้าเป็นมึง จูนไม่กล้าด่าหรอก
            ไม่ได้โดนจูนนี่
            เออ โดนเพื่อนเค้า ชื่อไรไม่รู้ นั่งหน้าซีด ๆ อยู่น่ะ กูตกใจเลย นึกว่าโดนหน้า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
            เจ ได้แต่ยิ้ม ๆ   


........................................................

            วันนี้เป็นวันที่แย่มาก ไม่ใช่แค่ปวดไหล่ข้างที่โดนลูกบาส หรือว่าโดนอาจารย์เรียกตอบภาษาอังกฤษแล้วตอบไม่ได้ แต่เพราะเจ มาที่ร้านตอนเย็น แล้วป้าก็อยู่ด้วย เจ มาซื้อดอกกุหลาบไปสองหอบใหญ่ ๆ บอกว่าจะเอาไปให้ที่บ้านใส่แจกัน ตอนเราช่วยเอาถือดอกไม้ไปส่งที่รถ เจก็ถามเราเรื่องที่โดนลูกบาส
            “เจ็บรึเปล่า
            ................
            โจ๊กตกใจใหญ่นึกว่าทำเธอร้องไห้ โจ๊กมันไม่รู้นี่ ว่าปกติหน้าเธอก็เหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว บ่นใหญ่เลย ถ้าเธอร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ มันคงเอาพานมาไหว้ขอขมานะ
            ................
            ตกลงเจ็บจริง ๆ เหรอ เจเริ่มหน้าเสีย พอมองหน้าเรา
            ตอนนั้นก็เจ็บ แต่ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว มาถามเอาตอนนี้น่ะ อยากรู้ตอนไหนล่ะ
            “เพราะห่วงหรอก ถึงได้ต้องมาซื้อดอกไม้ถึงที่นี่ ทั้งที่แถวห้างใกล้บ้านกว่าเยอะ
            ถ้าถามตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่ต้องมาแล้ว แต่เราเข้าใจนะ ถ้าอายคนอื่นที่จะพูดกับเรา
            เราบอกเจไปอย่างยิ้ม ๆ แล้วเดินกลับเข้าร้าน บอกป้าว่าขอไปอาบน้ำก่อน แล้วจะลงมาช่วยเก็บของ ไม่ใช่มีแค่เจคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ ลุงเองก็อายชาวบ้าน ในช่วงแรก ๆ ที่เรามาอยู่ที่นี่ การที่ต้องบอกใครต่อใครว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของน้องสาวเมียที่หนีออกจากบ้านไป ทำให้คนรักษาหน้าอย่างลุงเคียดแค้นแม่เรานัก เรารู้ว่าลุงไม่ได้เกลียดเรา แต่ลุงไม่ชอบแม่เรา เมื่อตอนที่พวกเขาคิดว่าเราหลับไปแล้ว เราเคยแอบได้ยินลุงบ่นเรื่องครอบครัวป้าทำให้เสียชื่อเสียง ป้ารักเรา เพราะป้ารักแม่ แต่ป้าก็รักครอบครัวตัวเองเหมือนกัน
            ก่อนนอนเราตัดสินใจแล้วว่าไม่เป็นไร ถ้าใครอยากจะเพื่อนกันแค่เพียงนอกโรงเรียนก็ไม่เป็นไร เราไม่มีเหตุผลอะไรจะไปโกรธที่เจทำแบบนั้น ใคร ๆ ก็คงทำแบบนั้น เหมือนที่ลุงกับป้าตกลงให้เรามานอนที่ร้านคนเดียว ดีกว่าอยู่ที่บ้านรวมกับครอบครัวเขา 

Chapter 3... Friday of the 3rd week/ November

Chapter 3


            คนที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกันเรียกว่า เพื่อน ใช่ไหม
            หรือคนที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกัน และเคยคุยกัน ก็คือ เพื่อน ใช่ไหม
            และเพื่อนก็คือคนที่เมื่อเดินผ่านกัน ก็ทักทายกัน หรือยิ้มให้กัน หรือสบตา หรือแสดงท่าทางอะไรก็ได้ว่ารู้จักกัน ใช่ไหม
            แต่นักเรียนใหม่คนนั้น คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเรา เคยคุยกับเรา และเคยนั่งกินข้าวกับเราไม่ได้แสดงท่าทางว่ารู้จักอะไรเราเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนเดินสวนกันตรงทางเข้าห้องสมุด ตอนกลุ่มเราเดินผ่านโต๊ะที่เขากินข้าวอยู่ หรือตอนเดินไหลไปตามกลุ่มนักเรียนเมื่อตอนเปลี่ยนคาบเรียนบนตึกวิทย์ตลอดเวลา ๔ วันที่ผ่านมา
            ไม่ใช่ว่าเราจะคอยมองหาตลอดว่าเขาอยู่ตรงไหน แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาผ่านมา มักจะมีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเราพูดถึงเขาเสมอ ในโรงอาหารเขาจะนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับเมย์ ติดกับคนที่เราจำได้ว่าเป็นนักบาสของโรงเรียนและเป็นกรรมการนักเรียนฝ่ายกีฬาด้วย กลุ่มของเมย์ หมายถึงกลุ่มที่ดังที่สุดของชั้นเรียน เพราะในกลุ่มไม่ได้มีแค่เมย์ ที่เป็นประธานนักเรียนที่สวยที่สุด แต่ยังมีรองประธานนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุด หัวหน้าวงโยธวาทิต เด็กผู้หญิงที่สาบานกับอาจารย์ฝ่ายปกครองว่าผมของตัวเองเป็นสีน้ำตาลธรรมชาติ พี่ ม. ๖ อดีตกรรมการนักเรียน ลูกอาจารย์วิชาเคมี และพี่ม.๖ คนที่จูนเคยแอบเอาช็อคโกแลตไปให้เมื่อวาเลนไทน์ที่ผ่านมา
            แต่เขาไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ หรือหัวเราะไปพร้อมกับคนอื่นในกลุ่ม เขามักถือหนังสือขนาดพ็อกเกตบุ๊คที่กุ๊กไปแอบสังเกตแล้วมาบอกจูนว่าเป็น หนังสือคู่มือชีวะ หรือบางวันก็เป็นวิชาเคมี จูนบอกว่า เจเป็นนักเรียนเกรด A ก็คือได้เกรดเฉลี่ย ๔.๐๐ มาตลอด ตอนนี้จูนมีข้อมูลของ เจ เยอะมาก กุ๊กยังแซวว่า จูนเป็นหัวหน้าแฟนคลับของเจ ไม่ใช่ว่ามีแฟนคลับกลุ่มนี้เป็นทางการ แต่ว่าในเวบไซต์ของโรงเรียน มีคนที่เข้ามาคุยเรื่องเจเยอะมาก และมักจะลงชื่อว่า แฟนคลับเจ ใคร ๆ ก็ใช้ชื่อว่า แฟนคลับเจ ถ้าพูดเรื่องเจ แต่เราไม่เคยอ่านหรอก เราไม่เคยแม้แต่เข้าเวบโรงเรียน คอมพิวเตอร์ที่เราจะใช้ได้มีแค่เพียงคอมพิวเตอร์ในห้องสมุดที่ต้องลงชื่อใช้งาน และด้วยงบโรงเรียนที่จำกัด ทำให้คิวรอใช้ยาวเหยียดเสมอ เมื่อได้โอกาส เราจึงมักต้องรีบหาแต่เรรื่องที่จำเป็นต้องใช้ในการทำรายงานเท่านั้น และแถวบ้านเราก็ไม่มีร้านอินเตอร์เนทคาเฟ่เหมือนที่ผุดขึ้นมากมายรอบ ๆ ห้าง
            นอกจากเรื่องนักเรียนเกรด A กุ๊กยังบอกว่า ประเด็นสำคัญที่ถกเถียงกันในเวบก็คือเรื่องที่เจต้องออกจากโรงเรียนเก่า มีหลายคนเข้ามาให้ความเห็นมากมาย แต่เราไม่รู้คำตอบที่ถูกต้อง เพราะเมื่อคุยกันมาถึงตรงนี้ ก็ถึงเวลาที่เราต้องรีบไปรดน้ำที่แปลงสวนครัวแล้ว วันนี้ต้องดูแลให้มากเป็นพิเศษ เพราะเสาร์-อาทิตย์จะไม่มีใครมารดน้ำให้มันเลย
            เราเดินไปพลาง พยายามท่องศัพท์ภาษาอังกฤษที่น่าจะโดนเรียกถามอาทิตย์หน้าไปพลาง การโดนเรียกยืนตอบในห้องเรียนนั้นน่าอายน้อยกว่าโดนเรียกแล้วตอบไม่ได้นิดเดียว ห้องเก็บเครื่องมือเกษตรดัดแปลงมาจากเรือนพยาบาลเก่า มีทั้งจอบ เสียม พลั่ว ทั้งเล็กและใหญ่ และยังมีกระดาน หรือโต๊ะ เก้าอี้ที่พังแล้ววางสุมอยู่ ไม้ ประธานชมรมสวนครัวเคยนัดให้ทุกคนมาทำความสะอาดที่นี่ แต่ไม่มีใครยอมมา จึงได้เลิกราไป เพราะ เราแค่สองคน ทำไม่ไหวหรอก ไม้บอกว่าเราควรจะเป็นประธานชมรมมากกว่าเขาอีก แต่การเป็นประธานไม่ได้มีหน้าที่แค่รดน้ำ พรวนดิน และดูแลแปลงผัก การเข้าประชุมคณะกรรมการนักเรียนไม่ใช่เรื่องที่เราถนัดเลย
            เราเลือกส้อมพรวนอันเล็กสุด และบัวรดน้ำอันที่ใช้ประจำ แล้วเดินมาที่แปลงผัก
            หนอนตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่กลัวรึไง
            เจ ถือใบมะกรูดที่คงเด็ดออกมาจากต้นพร้อมหนอนตัวใหญ่กว่านิ้วโป้งของเขาเสียอีก
            นี่ต้นอะไรอ่ะ
            มะกรูด
            เธอน่าจะทำสวนดอกไม้ไม่ใช่เหรอ ทำไมมาปลูกผัก แล้วเอาไว้ขายรึเปล่า ที่นี่มีชมรมเกษตรด้วยเหรอ คงเป็นชมรมที่รวยที่สุดในโรงเรียนเลยนะ ชมรมอื่นไม่มีรายได้นี่
            คำถามทุกคำถามของเขาคงไม่ต้องการคำตอบ เพราะถามเสร็จเขาก็หันหลังเอาใบมะกรูดและหนอนไปวางไว้ตรงแปลงผักชีแทน แล้วเอาบัวรดน้ำที่เราถือมาไปเติมน้ำ ตลอดเวลาที่เราพรวนดินไป และเขารดน้ำ เจจะถามเรื่องง่าย ๆ เกี่ยวกับแปลงสวนครัวมากมาย เราตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่สนใจที่จะรู้คำตอบอยู่แล้ว หรือเราตอบช้าจนเขาไม่รอฟัง และเพราะช่วยกันสองคน วันนี้เราจึงใช้เวลาที่แปลงสวนครัวน้อยกว่าที่ผ่านมา
            เราเจอร้านที่ขายสเต็คแล้ว ไปกินกัน
            เจ ยึดกระเป๋าเราไปถือไว้แล้วเดินนำไปทางหลังโรงเรียนที่จอดรถของนักเรียน
            อยู่ตรงตีนสะพานข้ามแม่น้ำน่ะ เคยไปไหม
            ไม่เคย เราว่าเรากลับบ้านดีกว่า
            ไปเป็นเพื่อนหน่อย เรายังไม่คุ้นเส้นทางเท่าไร กินข้าวสองคนอร่อยกว่ากินคนเดียวด้วย
            เราก็ไม่รู้ทางเหมือนกัน
            ไม่เป็นไรเรารู้
            เจ คงจะจำได้จากคราวที่แล้ว จึงเอากระเป๋าไปถือไว้ทั้งสองใบ ขณะที่เราก้าวคร่อมขึ้นรถ เราพยายามยึดกระโปรงไม่ให้เลิกขึ้นสูง และเกาะคนขับแน่น ตอนขึ้นลงสะพานชันนั้นยากที่สุด เพราะจับกระโปรงไปด้วย ระวังไม่ให้ตกจากรถ และหลบลงแรงที่พัดปะทะหน้าไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เจ คงจะเข้ากับเพื่อนในกลุ่มไม่ค่อยได้ เขาถึงได้เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเรียนตอนที่อยู่ในโรงเรียน และ เจ คงไม่ชอบคนเยอะ ๆ ถึงได้ไม่ชวนใครในกลุ่มมากินข้าวเป็นเพื่อน เพราะหากชวนคนหนึ่ง ก็ต้องชวนคนอื่น ๆ ด้วย เราคิดเข้าใจเอาเอง
            ร้านสเต็คร้านนี้ใหญ่ แต่ไม่ค่อยมีคน คนคงเยอะตอนเย็น ๆ กว่านี้ เจ เดินนำไปนั่งด้านในห้องแอร์ เขาสั่งสเต็คเนื้อจานใหญ่โดยไม่ดูเมนูด้วยซ้ำ แต่เราต้องดูเมนูถึงสามรอบกว่าจะตัดสินใจได้ว่าสั่งสลัดไก่ดูจะถูกที่สุด ราคาสลัดจานนี้เท่ากับเรากินมื้อเย็นได้สามวัน เจ สั่งสปาเก็ตตี้ตามรูปที่อยู่ในเมนูแนะนำเพิ่มอีกอย่าง ตามด้วยน้ำส้มคั้นสองที่
            หวังว่าร้านนี้จะอร่อยนะ
            อาหารมาพร้อมกันสามจาน เจ ผลักสปาเกตตี้ให้
            อันนี้น่าจะดี กินสิ แล้วบอกด้วยว่าอร่อยไหม
            สาบานว่าเราไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อน ไม่สิ เราไม่เคยกินสปาเกตตี้มาก่อนเลยต่างหาก เราจึงไม่รู้หรอกว่าสปาเกตตี้ที่นี่อร่อยไหม แต่มันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่เราเคยกินมา เราเลื่อนจานให้ เจ แล้วตอบทั้งยังเคี้ยวไม่หมด
            อร่อยมากเลย
            เธอกินเถอะ เราไม่ชอบสปาเกตตี้หรอก สลัดนี่แบ่งกัน
            เราไม่เข้าใจว่าเขาจะสั่งอาหารที่ไม่ชอบทำไม ในรูปมันอาจจะดูน่ากินมั้ง ระหว่างกินเจถามเราเรื่องที่เที่ยวหรือสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง หลังจากเราให้คำตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาก็เปลี่ยนไปถามเรื่องโรงหนังที่ห้าง แต่เราก็ไม่เคยไปดูหนังเลย
            หนังเรื่องสุดท้ายที่ดูเรื่องอะไร
            เราไม่เคยดูหนัง
            แต่ห้างที่นี่เปิดมา ๕ ปีแล้วไม่ใช่เหรอ
            เราไม่เคยไป
            อ้าว แล้วไปไหนบ้าง
            เราได้แต่ส่ายหน้า เจ กินทุกอย่างหมดแล้ว สปาเกตตี้เราเพิ่งหมดไปครึ่งจาน คงต้องเคี้ยวให้เร็วมากกว่านี้ เราจึงปล่อยให้ เจ เล่าเรื่องหนัง และโรงหนังที่กรุงเทพอยู่ฝ่ายเดียว หนังสามมิติทำให้เราถึงหยุดเคี้ยวแล้วฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ
            เธอน่าจะไปดูหนังนะ ครั้งหนึ่งในชีวิต ก่อนตายก็ยังดี
            พอเรากินหมด เจ จึงหันไปเรียกพนักงานแล้วรีบบอกก่อนเราจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา
            เราเอง เราชวนเธอมา ไม่ต้องจ่ายหรอก
            แต่มันแพงนะ
            อยู่นี่เงินเราเหลือใช้เยอะ
            เจ ขับรถมาส่งเราหน้าร้านแล้วกลับบ้าน ป้าเงยหน้ามองทันเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่คุ้นตามาส่งหลานสาว
            เพื่อนที่โรงเรียนมาส่งค่ะ
            ขับรถแพงเชียว ใครน่ะ
            เขาเพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพเทอมนี้ค่ะ ชื่อ เจ
            พี่ลัดดา จากร้านทำผมที่นั่งคุยอยู่กับป้าก่อนแล้ว ถามขึ้น
            ที่เป็นหลานท่านผู้ว่าฯ น่ะเหรอ
            รู้จักเหรอ ลัดดา
            เค้าพูดกัน หลานผู้ว่า เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ มาเข้าที่โรงเรียนจังหวัด อยู่ห้องเดียวกับหลานเธอเหรอ
            ทั้งป้าและพี่ลัดดาหันมามองหน้าเรา
            อยู่ห้องหนึ่งค่ะ
            เรารีบเดินขึ้นไปเปลี่ยนชุดจะได้รีบลงมาช่วยป้าขายของ ไม่อยากฟังอะไรต่อและกลัวว่าจะโดนถามเรื่องเจอีก
            ก่อนนอนเรานึกขึ้นได้ว่า บางทีเจอาจไม่อยากทักเราที่โรงเรียนเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามาคุยกับเรา เพราะกลุ่มของเมย์มีแต่คนเก่ง ๆ เราเองอยู่ห้อง ๓ มีแต่ห้อง ๑ ที่คัดแต่นักเรียนเก่ง ๆ แยกไว้ ห้อง ๒ และ ๓ คละกัน ที่เหลืออีก ๔ ห้อง เป็นสายศิลป์คำนวณ และภาษา ถึงจูนจะน่ารักและรู้จักคนไปทั่ว แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น บางที เจ อาจจะคิดว่าเราเป็นคนที่นี่ น่าจะรู้อะไรมาก แต่วันนี้ เจ คงรู้แล้วว่าพึ่งอะไรเราไม่ได้ เพราะเราก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าคนกรุงเทพที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ๆ เลย บางทีวันนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน

Chapter 2.... The 3rd week of November

Chapter 2




ขึ้นเทอมสองมา ๒ อาทิตย์แล้ว
วันนี้หลังจาก เมย์ นำเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จ จูนกระซิบพลางชี้ให้พวกเราดูนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ จูนบอกว่าเขาย้ายมาจากกรุงเทพ ฯ และอยู่ห้อง ๑ ใคร ๆ ก็พูดกันว่าต้องมีเส้นสายใหญ่แค่ไหนถึงเข้ามาเรียนในเทอมสองได้ และได้อยู่ห้องคิงส์เสียด้วย นอกจากจูนแล้ว เพื่อนในห้องคนอื่น ๆ ก็บ่นถึงเพื่อนใหม่คนนี้ทุกคน  เราไม่แปลกใจเท่าไรนัก เพราะใคร ๆ ก็คงอยากให้ห้องเรียนของตนมีเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนักเรียนใหม่ แต่จูนบอกว่า เพราะเขาหน้าตาดีด้วย ถ้าความหน้าตาดีวัดจากการที่เดินไปทางไหนก็มีคนกระซิบกระซาบตามหลัง หรือทุกคนในโรงเรียนรู้จัก จูนก็คงพูดถูก
            แต่อาการไม่ทุกข์ร้อนแม้จะโดนจับจ้อง หรือการไม่พูดจาแม้จะมีรุ่นน้องรุ่นพี่มาชวนคุย โดยพาลเดินหนีเอาซะดื้อ ๆ จึงจำกัดความนักเรียนใหม่คนนี้ได้ชัดเจนขึ้น คำว่า ดีแต่หน้าตา จึงสะพัดติดปากหลาย ๆ คนในโรงเรียนภายในเวลาไม่ถึงเดือนตั้งแต่เขาย้ายเข้ามา นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าถึงสาเหตุการย้ายโรงเรียนกลางคันอีกต่าง ๆ นานา ที่เราได้ยินจูนพูดก็คือ
             เป็นลูกคนรวยก็ยังงี้แหละ ตีกับโรงเรียนอื่นไปทั่ว แล้วปรากฏว่ามีเด็กตาย พ่อแม่เลยรีบให้หนีออกมาเสียก่อน
            และ ปอนด์ เพื่อนผู้ชายคนเดียวในห้องที่นาน ๆ ทีจะพูดกับเราก็เสริมขึ้นว่า
            “พ่อแม่เขาเป็นอาจารย์หมอด้วยนะ ลูกชายคนเดียวเสียคน คงเครียดไปเลย
            เสียดายนะ รวยด้วย หล่อด้วย
            ถ้าเขามาจีบ เอาปะล่ะ
            “เอาสิ
            ธ่อ ผู้หญิงเขาเป็นกันแบบนี้เหรอวะ
            เราไม่ได้สนใจฟังต่อ เพราะออดดังบอกเวลาเลิกเรียน วันนี้ต้องไปรดน้ำแปลงผัก และพรวนดินก่อนกลับบ้าน ถ้าออกจากโรงเรียนช้า จะชนกับเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนเทคนิค ทำให้รถแน่น การต้องห้อยโหนเบียดเสียดกันบนรถสองแถวเล็ก ๆ ไม่น่าสนุกเลย และเราไม่อยากนั่งรอให้เลยเวลา ๕ โมงเย็นกว่ารถจะโล่ง
            ที่จริงทุกคนในชมรมต้องมาช่วยกันดูแลแปลงผัก แต่พวกจูนไม่ชอบต้นไม้ และกลัวดินเปื้อนมือ เราจึงรับอาสารับผิดชอบทั้งหมดแทน การที่พวกจูนมายืนคุยเรื่องนักเรียนในโรงเรียนไปพลาง และเรารดน้ำไปพลางก็ไม่น่าสนุกเช่นกัน การได้อยู่ในโลกส่วนตัวคนเดียวเป็นสิ่งดึงดูดใจที่สุดในการยอมรับทำงานหนักนี้
            แปลงสวนครัวอยู่ด้านหลังห้องสมุด ช่วงเลิกเรียนนักเรียนมักไปเตร็ดเตร่อยู่แถวสนามบาส สนามบอล หรือโรงอาหารมากกว่า และเรือนพยาบาลที่อยู่ไม่ห่างนักก็ไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการเท่าไร ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น การจับเพื่อนขึ้นซ้อนท้ายไปส่งโรงพยาบาลง่ายกว่า
            นอกจากเกลียดวิชาพละแล้ว เรายังหกล้มบ่อยด้วย และการหกล้มขณะที่ในมือมีบัวรดน้ำจุน้ำ ๒ ลิตรก็ยิ่งทำให้ดูแย่กว่าปกตินัก
            เป็นอะไรอ่ะ ไปห้องพยาบาลไหม
 เจ็บไม่เท่ากับอาย และเลือดซิบ ๆ ที่หัวเข่าก็ทำให้ภาพที่เห็นดูเลวร้ายมากขึ้นเมื่อรวมกับน้ำที่นองบ
นพื้นซีเมนต์เปื้อนดิน น้ำตาไหลไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นเพราะโกรธตัวเองมากกว่า เราลุกขึ้นยืนพร้อมกับที่เขาหยิบบัวรดน้ำขึ้นมา เลือดออกที่หัวเข่าเยอะขึ้น รอยแตกของขอบแปลงผักคงเจาะลึกเข้าไปในผิว เราพยายามเอามือป้ายเลือดออกเท่าไรก็ไม่หยุด เราไม่พกผ้าเช็ดหน้า และเพื่อนคนนี้ก็คงไม่มีทิชชู่ เพราะเขาพยายามลากกึ่งจูงเราไปที่ห้องพยาบาล
            เรือนพยาบาลปิดแล้ว ครูห้องพยาบาลของโรงเรียนเก่าเขาที่กรุงเทพคงรอให้นักเรียนทุกคนในโรงเรียนกลับหมด แล้วจึงค่อยกลับบ้านกระมัง เขาจึงนึกว่าจะมีใครคอยช่วยเด็กนักเรียนที่เซ่อซ่าทำตัวเองเจ็บตัว เราพยายามกระพริบตาไม่ให้เขาเห็นเราร้องไห้ แต่ความชาค่อย ๆ จางหายไปความเจ็บเข้ามาแทนที่ คงเพราะสภาพกระโปรงเปียกไปครึ่งตัว เลือดซึมไหลจากแผลที่หัวเข่า และคราบน้ำตาปนดินที่เปื้อนหน้าตอนเราปาดน้ำตาทิ้งที่ทำให้เขาถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
            กระเป๋าอยู่ไหน เดี๋ยวเราไปส่งบ้าน
            ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรารอให้กระโปรงแห้ง เดี๋ยวเรากลับเองได้
            จะรอถึงพรุ่งนี้รึไง
            แล้วเขาก็เดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางตรงโคนต้นไม้ใบหนึ่ง เขาคงแน่ใจแล้วว่าเป็นของเรา
            เราต้องล็อคห้องเครื่องมือก่อน
            เดี๋ยวล็อคให้ เอากุญแจมา
            เรื่องที่แย่กว่าการกึ่งวิ่งกึ่งเดินให้ทันคนที่เดินนำหน้าถือกระเป๋าไปก็คือ เมื่อรู้ว่าต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน เราไม่ได้กลัวว่าต้องนั่งรถคนแปลกหน้าหรอก ถ้าคนแปลกหน้าพาขึ้นสองแถวทั้งกระโปรงเปียก ๆ ไปยังจะดีเสียกว่า ไม่ใช่แค่เราขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น แค่นั่งเราก็ไม่เคย พอคนขับส่งกระเป๋าของเราและเป้โรงเรียนของเขาให้เราถือ แล้วเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมรถสองล้อสีขาวแบบที่เราไม่เคยเห็นวิ่งผ่านหน้าร้านดอกไม้ของเรามาก่อน เราก็พยายามเอาขาพาดตามโดยที่ในมือยังกอดกระเป๋าสองใบแน่น
            ทำไมนั่งยังงั้นล่ะ
            เราไม่รู้ว่าทำอะไรแปลก เพราะนอกจากพยายามกอดกระเป๋าสองใบหนัก ๆ โดยไม่ให้ตัวเองหงายหลังตกรถ เราก็นั่งไม่ต่างกับคนขับสักเท่าไร
            เกาะดี ๆ ละกัน ระวังหงายหลัง
            ตอนรถเลี้ยวออกจากโรงเรียน ไม่ค่อยมีใครเหลือแล้ว และยังไม่ถึงเวลาที่โรงเรียนเทคนิคเลิก สองข้างทางและบนถนนจึงโล่งตา ระหว่างที่เราพยายามบอกทาง คนขับก็เอื้อมมือมายึดมือเราไว้ แล้วตะโกนบอกเราว่าเกาะแน่น ๆ แล้วดึงมือเราให้ไปขยุ้มกำเสื้อด้านหน้าของเขาไว้ กระเป๋านักเรียนที่มีหนังสืออัดแน่นของเรา และเป้นักเรียนที่คงมีแต่ดินสอและสมุดการบ้าน ๒-๓ เล่มของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้เรายึดเสื้อเขาได้ถนัดนัก ขับไปได้ครึ่งทางเขาจึงเอื้อมมือมาดึงกระเป๋าทั้งสองไปหนีบไว้ระหว่างขาตัวเอง เราจึงได้ยึดตัวคนขับได้ถนัดขึ้นทั้งสองมือ
            ป้าไม่ได้อยู่ที่ร้าน เมื่อเราไขกุญแจเข้าไปจึงพบกระดาษวางไว้ที่โต๊ะเขียนว่า เอาพวงหรีดไปส่ง เฝ้าร้านด้วยนะ แม่ของนัดดาเสีย จะอยู่สวด
            มีตู้ยารึเปล่า ที่จริงเราน่าเอาเธอไปโรงพยาบาลมากกว่านะ
            เรารีบหยิบกล่องยาที่ลุงได้แจกจากอำเภอมาวางที่โต๊ะ ก่อนที่จะถูกลากไปโรงพยาบาล ค่ารักษาแผลงี่เง่าแบบนี้เอาไปซื้อข้าวกินได้หลายวันนัก
            ถ้าการมีทั้งพ่อและแม่เป็นอาจารย์ของหมอทำให้ลูกทำแผลเป็น ก็คงจริงอย่างที่จูนเล่า เพื่อนใหม่คนนี้ ทั้งเช็ดแผลและติดผ้าก็อตได้เรียบร้อยกว่าครูห้องพยาบาลเสียอีก
            แม่ขายดอกไม้เหรอ เราเพิ่งเคยมาแถวนี้ ร้านข้าวแถวนี้อร่อยไหม เบื่อไปกินแถวห้าง คนเยอะ
            นี่ร้านป้าเรา แม่เราตายไปแล้ว
            หิวไหม ร้านข้าง ๆ นี่ข้าวอร่อยไหม ไปกินข้าวกัน เราหิวแล้ว
            เราไม่แน่ใจว่าคนกรุงเทพเขาพูดจากันแบบนี้ หรือเป็นแค่คนนี้คนเดียว แต่ก็ดีที่อย่างน้อยเราไม่ต้องคอยพูดปลอบคนที่สงสารเรา เพราะไม่มีแม่
            จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม
            เราต้องเฝ้าร้าน
            งั้นเดี๋ยวไปซื้อมากินที่นี่ละกัน เธอต้องรอกินพร้อมป้ารึเปล่า จะกินอะไรเดี๋ยวซื้อมาให้
            ......
             หลังจากเราหลุดปากบอกเขาไปว่าปกติเรากินข้าวเลย เพราะป้ากลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านกับลุง เขาก็รีบออกไป เราจึงวิ่งขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า กระโปรงเราไม่ได้เปียกน้ำอย่างเดียว แต่มันผสมกับเศษดิน จนแห้งกลายเป็นโคลนติดอยู่เต็ม เราแช่กระโปรงไว้แล้วหยิบเสื้อยืด กางเกงพละตัวเก่าที่ขาดตรงหัวเข่าเมื่อตอนเราต้องสอบวิ่งแข่งแล้วหน้าทิ่มถึงเส้นชัย ๓ เมตร มาใส่อย่างเร่งรีบ เพราะเผื่อมีลูกค้ามาที่ร้าน คุณยายแผงหนังสือที่มาซื้อดอกไม้ไหว้พระทุกวันแวะมาเลือกพวงมาลัย ๒ พวง ตามด้วยเด็กนักเรียนโรงเรียนสตรีที่ซื้อกุหลาบ ๕ ดอกไปฝากเพื่อนเดินออกจากร้านไป ๕ นาที เขาก็กลับมาพร้อมก๋วยเตี๋ยว ๒ ถุง และข้าวอะไรสักอย่าง
            แถวนี้คนไม่ค่อยมีนะ แต่อาหารน่าจะอร่อย
            ........
            “มีจานใช่ไหม
            ด้านหลังของร้านเป็นครัวเล็ก ๆ ที่ไว้เก็บแต่เพียงภาชนะใส่อาหาร และตู้เย็นเล็ก ๆ ไม่มีการทำกับข้าวที่นี่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็มีแค่ทีวีเก่า ๆ บนโต๊ะกินข้าว กับพัดลม ๒ เครื่อง รวมทั้งตัวที่วางในห้องนอนเรา เราไม่เคยชวนเพื่อนมาที่บ้าน และไม่เคยมีใครมากินข้าวด้วยในมื้อเย็น นอกจากวันเสาร์ อาทิตย์ที่บางทีลุงกับป้าจะซื้ออาหารมากินที่ร้านพร้อมน้อง ๆ เขาคงสังเกตจากที่เราหันไปทางครัวโดยอัตโนมัติว่าคงเก็บจานชามไว้ที่นั่น จึงเดินเข้าไปเลือกหยิบเอาเอง เราช่วยจัดอาหารที่พอกินสัก ๕ คนวางเต็มโต๊ะ และกินไปได้ ๒-๓ คำ
            แย่ ไม่เห็นอร่อย เธอกินร้านแถวนี้ทุกวันป่ะเนี่ย
            เราพยักหน้า
            มิน่า ถึงได้ตัวแค่นี้ เขาพูดยิ้ม ๆ
            เราสูง ๑๖๓ ซ.ม. และอยู่เกือบหลังสุดเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ถ้าคนที่สูงสัก ๑๗๕ มาบอกว่าเราตัวเล็ก ก็คงจะน่าโมโหอยู่ แต่เราไม่ได้พูดอะไร เพราะจะต่อว่าคนที่ซื้อข้าวมาให้กินคงเป็นการเสียมารยาท บางทีจ่ายเงินก่อนแล้วค่อยด่ากัน อาจจะดีกว่า
            ทั้งหมดนี่เท่าไร
            “ร้อยยี่สิบ
            คนละ ๖๐ บาทสำหรับมื้อเย็นถือว่าเปลืองมาก ปกติเราใช้ไม่เกิน ๒๕ บาทเท่านั้น
            ถูกนะ อยู่ที่นี่ไม่เปลืองดี แต่ยังไม่เจอร้านอร่อย ๆ มีร้านไหนขายสเต็คไหม ที่ไม่ใช่ในห้างนะ อยากกินสเต็ค หรือร้านอาหารญี่ปุ่นน่ะ ที่นี่มีไหม
            ไม่รู้เหมือนกัน
            “ไม่ได้เป็นคนที่นี่เหรอ
            เป็น
            ทำไมไม่รู้ล่ะ
            ไม่ใช่แค่ไม่เคยออกนอกจังหวัด บ้านกับโรงเรียนเท่านั้นคือที่ ๆ เรารู้จัก ป้ากับลุงไม่ได้พาเราไปไหน เขามีลูกเล็กที่ต้องดูแล แต่เราไม่ได้ตอบอะไร แค่คิดเสียดายอาหารบนโต๊ะที่คงจะเหลือทิ้ง และเงินที่ต้องจ่ายไปเปล่า ๆ ก็ทำให้เราก้มตาก้มหน้ากินข้าวอย่างหมกมุ่น จนคนที่นั่งตรงข้ามลุกขึ้นยืน
            ไม่อร่อย แต่ก็อิ่มนะ ทำไมกินช้าจัง
            ข้าวมันไก่ในจานเราหมดไปเกือบครึ่ง ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยว ผัดผัก และข้าวมันไก่ของเขาหมดเกลี้ยง รวมทั้งแฟนต้าน้ำส้มกระป๋อง
            ทำไมกินเยอะจัง
            หิวน่ะ
            เขาเดินไปคว้าเป้จะกลับบ้าน เราบอกให้เขารอและรีบวิ่งขึ้นไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้ในห้องตอนเปลี่ยนชุด
            ไม่เป็นไร เรามาอาศัยหาเพื่อนกินข้าว แล้วเธอก็กินนิดเดียวเอง
            ไม่ได้หรอก อุตส่าห์ขับรถมาส่ง แล้วจะเลี้ยงข้าวได้ไง
            ก็หน้าตาเหมือนจะแหกปากร้องไห้ซะอย่างนั้น ใครก็ต้องพามาส่ง เขาพูดยิ้ม ๆ
            งั้นเฉพาะส่วนที่เรากินก็ได้
            เขารับแบงค์ยี่สิบไปใบเดียว แล้ววิ่งออกไป
            เป็นครั้งแรกในชีวิตเราที่มีเพื่อนมาที่บ้าน

Chapter 1.... 1st Monday of November

Chapter 1


            เราเคยเล่าให้เธอฟังไหมว่า โรงเรียนเราเป็นยังไง
            โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนใหญ่ประจำจังหวัด เด็กที่มาเข้าโรงเรียนนี้มีตั้งแต่ลูกหลานท่านส.ส.  ไปจนถึงลูกชาวนาชาวไร่ เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุดของจังหวัด และก็มีนักเรียนที่เรียนไม่ค่อยดีนักแต่มีเส้นสาย เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ลุงเราทำงานที่อำเภอ ตำแหน่งไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก อาศัยว่ารู้จักครูพละในโรงเรียน เลยฝากให้เราเข้าโรงเรียนได้ เพราะคะแนนของเราตอนจบ ป. ๖ ไม่ดีพอ ทั้งที่เราเป็นเพียงหลานที่ของผู้หญิงที่ลุงแต่งงานด้วย แต่ตอนนั้นลุงก็พยายามวิ่งเต้นให้เราได้เรียนที่นี่ให้ได้ เพราะการบอกใครๆ ว่าหลานสาวเรียนอยู่ที่นี่ดีกว่าบอกว่าจบประถมเป็นไหน ๆ
            บ้านเราเป็นร้านขายดอกไม้ ร้านที่ลุงกับป้าเปิดด้วยกัน ป้าเราชอบดอกไม้มาก พวงมาลัยของป้าสวยที่สุดในจังหวัด แต่ร้านของป้าไม่ได้ดังที่สุด เพราะร้านดัง ๆ ย้ายเข้าไปขายในห้างที่เพิ่งมาเปิดเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว และร้านที่ขายดี ๆ ก็อยู่บริเวณรอบ ๆ ห้างนั้นเสียมาก บ้านเราอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึง ๑๐ กิโลเมตร ห้องนอนของเราอยู่ชั้นบนของร้าน บริเวณไม่กว้างนัก แต่ข้าวของเรามีเพียงตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ เบาะนอนหนา ๆ และโต๊ะญี่ปุ่นนั่งพื้น ทำให้เราอยู่ได้อย่างไม่อึดอัดอะไร พอปิดร้านเวลา ๖ โมงเย็น ช่วยกันป้าหลานเก็บร้านเสร็จ ป้าก็ขับรถกระบะกลับไปกินข้าวเย็นกับลุงและลูก ๆ เราจึงถือว่าได้เป็นเจ้าของตึก ๒ ชั้นเล็ก ๆ นี้แต่เพียงผู้เดียวจนถึงรุ่งเช้า เมื่อเขาเอาดอกไม้มาส่งตอนตี ๔ เราจะตื่นมาจัดของ จนตี ๕ ป้ามาเปิดร้าน เราอาจได้นอนต่อจนกว่าจะถึงเวลาไปโรงเรียน
ทุกเช้าเราคอยรถสองแถวเพื่อไปโรงเรียน จริง ๆ แล้ว นักเรียนในชั้นเดียวกันหรือเด็กกว่า ๒-๓ ปี ต่างขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนทั้งนั้น แต่เราไม่มีมอเตอร์ไซค์ และแม้แต่จักรยานเราก็ขับไม่เป็น เราเดินทางไปกลับจากโรงเรียนด้วยรถสองแถวทุกวัน เมื่อถึงบ้านก็จะทำการบ้านหรือช่วยป้าทำดอกไม้  ร้อยพวงมาลัย หรือพวงหรีด ป้าเคยบอกว่าป้าโชคดีที่ได้มรดกจากคุณตาคุณยายของเรา จึงได้มีทุนมาเปิดร้านได้ แม่เราโชคร้าย แม่ไม่ได้มรดกอะไร แต่เพราะเราไม่เคยเจอคุณตาคุณยาย เราจึงไม่นึกโกรธอะไรที่พวกท่านจะไม่แยแสแม่เรา ทั้งที่มีลูกสาวแค่ ๒ คน และแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรถึงคุณตาคุณยายนัก
บ้านที่เราเคยอยู่กับแม่ไม่ได้อยู่ในเมือง และแม่ก็ไม่ได้ชอบดอกไม้เหมือนป้า แม่เราตัดเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าได้ดีพอ ๆ กับฝีมือจัดดอกไม้ของป้า บ้านเก่าเราเป็นบ้านไม้เล็ก ๆ มีเพียงเรา แม่ และพ่อเลี้ยงอยู่กัน ๓ คน เมื่อแม่ตายเสียตอนเราจบชั้น ป. ๕ พ่อเลี้ยงก็ทนเลี้ยงเราจนจบชั้นประถม แล้วส่งเรามาอยู่กับป้า ลุงไม่ค่อยจะพอใจนัก เรารู้ได้จากเวลาที่ลุงบ่นกับป้าเวลาที่นึกว่าเราหลับไปแล้ว ครอบครัวลุงกับป้าไม่ได้มีเงินมากมาย น้องชาย ๒ คนกำลังเรียน ป. ๑ และ ป. ๒ ก็ต้องใช้เงินมาก ตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้น ม. ๑ ที่โรงเรียนนี้ เราจึงเป็นนักเรียนทุนมาตลอด ป้านำรายได้ที่ได้จากร้านดอกไม้ให้เราใช้เป็นค่าอาหารและค่ารถ โชคดีที่เราไม่ค่อยได้ออกไปไหน และไม่เคยไปเที่ยว จึงไม่ขัดสนเงิน บางทีป้าให้เงินพิเศษเวลามีงานศพที่ต้องสั่งพวงหรีดมาก ๆ หรืองานแต่งงานที่จัดที่บ้าน แล้วจ้างป้าเราไปทำดอกไม้
ป้าอายุมากกว่าแม่เรา ๕ ปี ตอนแม่ท้องเรา ป้าเรียนจบปวส. พอดี ป้าไม่รู้ว่าพ่อเราอยู่ที่ไหน แม่เราเองก็ไม่เคยพูดถึงพ่อ เมื่อแม่อุ้มท้องเรา แม่ตัดขาดจากทุกคน หรือจะพูดให้ถูกก็คือทุกคนตัดขาดจากแม่ ยกเว้นป้าเราที่นาน ๆ ทีจึงติดต่อช่วยเหลือแม่บ้าง เท่าที่จำได้เรามีพ่อเลี้ยง ๒ คน โชคดีที่แม่เราสวย จึงมีคนเอ็นดูแม่มาก แต่เราคงไม่สวยเหมือนแม่ พ่อเลี้ยงทุกคนจึงไม่เคยยินดีกับการที่แม่มีเราติดไปอยู่ด้วยเลย
แม่สอนแต่ว่าให้ตั้งใจเรียน เราจึงโตมาโดยไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเรียน แต่เราโชคร้ายที่หัวไม่ดี เราเรียนผ่านแต่ละชั้นมาแบบฉิวเฉียดเสมอ และเราไม่มีงานอดิเรกอะไร ตั้งแต่มาอยู่กับป้า นอกจากการเรียนแล้ว เราจึงรู้จักแต่ดอกไม้เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ขึ้น ม.๔ มา หน้าที่ประจำในโรงเรียนของเรานอกจากเรียนหนังสือ พยายามสอบให้ผ่านวิชาพละ และทำเวรประจำวันในห้องแทนเพื่อน ๆ ที่หนีไปเที่ยว ก็คือดูแลแปลงสวนครัว ซึ่งเป็นงานที่เราเต็มใจทำ ประธานชมรมสวนครัวยินดีที่ได้เรามาอยู่ชมรมนี้ เพราะเราขยันดูแลต้นไม้มาก สมาชิกคนอื่น ๆ ในชมรมจำเป็นต้องเข้าชมรมนี้เพียงเพราะไม่ผ่านการคัดตัวชมรมอื่น ๆ พวกกีฬา ดนตรี หรือวิชาการ หรือบางคนก็อยู่ชมรมนี้เพราะไม่ต้องทำอะไรมาก และใช้เวลาไปนั่งเล่น หรือแฝงตัวตามมุมอื่น ๆ ของโรงเรียนได้ ดังเช่นเพื่อน ๔ คนที่อยู่ห้องเดียวกับเรา
และเพื่อน ๔ คนนี้ถือเป็นเพื่อนที่เราสนิทที่สุดในโรงเรียน ถ้าหากว่าความสนิทสนมวัดจากการนั่งกินอาหารกลางวันโต๊ะเดียวกัน การจับกลุ่มทำรายงาน และการนั่งใกล้ ๆ กันในห้องเรียน จูน หน้าตาน่ารักที่สุดในกลุ่ม ที่บ้านของจูนขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดชื่อดัง และจูนมีเชื้อจีน จูนจึงขาวหมวย และน่ารักที่สุดในห้อง แต่ถ้ารวมทั้ง ๗ ห้องของระดับชั้น ม. ๕ นั้น เด็กผู้หญิงสวย ๆ จะเรียนอยู่ห้องคิงส์ของ สายวิทย์-คณิตเสียมาก รวมทั้งเมย์ ประธานนักเรียนผู้หญิงคนดังของโรงเรียน เมย์ เคยถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบลงนิตยสารหลายครั้ง จูนบอกว่า ถ้าเธอได้ไปเรียนพิเศษทุกเสาร์-อาทิตย์ที่สยามสแควร์ ก็คงมีคนชวนเธอไปถ่ายแบบบ้างเหมือนกัน
เราไม่เคยไปสยามสแควร์ และเราไม่เคยไปกรุงเทพฯ ถึงแม้จังหวัดที่เราอยู่จะห่างจากกรุงเทพเพียง ๓ ช.ม. เราจึงไม่ค่อยเข้าใจที่จูนพูดสักเท่าไร แต่ต่อให้เราไปเดินเหยียบเท้าแมวมองที่ว่า เขาก็คงไม่สนใจชวนเราไปเป็นดาราสักเท่าไร นอกเสียจากด่าเราเปิง บรรพบุรุษเราเป็นคนไทย เราจึงไม่ขาวเหมือนจูน เราไม่ฉลาด หรือช่างพูด เราจึงไม่ได้โดดเด่นหรือเป็นที่รู้จักอย่างพวกกรรมการนักเรียน อันที่จริงเราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเพื่อนในห้องทุกคนจะรู้จักชื่อเล่นเรา พวกจูนเท่านั้นที่เรียกเราว่า น้ำ เพื่อนคนอื่น ๆ เรียกว่าเรา ฉัตรลดา